แดดยามบ่ายนอนราบเรียบจนแทบจะเป็นผืนเดียวกับสนามหญ้า
แขกคนเริ่มทยอยกันมาในงาน ส่วนใหญ่เป็นคณะ บางคณะดูอิดโรยบอกให้รู้ถึงการเดินทางในระยะทางไกลที่ใช้เวลาในการเดินทางหลายชั่วโมง
บางคณะยังดูสดใสกระปรี้กระเปร่า โดยรวมแล้วมีหลายช่วงวัยตั้งแต่หนุ่มสาวไปถึงวัยสูงอายุและที่สำคัญส่วนใหญ่เป็นครู
อีกมุมหนึ่งที่ชุมชนแออัดซึ่งอยู่ไม่ไกลไปจากบริเวณจัดงานมากนัก
เด็กน้อยสองคนตั้งตารอคอยว่า เมื่อไหร่จะย่ำค่ำซะที งานแบบนี้มีหรือพวกเขาจะพลาด
แม้เวลาปกติในช่วงกลางวันเขาทั้งสองจะคุ้นเคยกับสถานที่นี้เป็นอย่างดี แต่นั่นมันไม่ใช่ใบอนุญาตที่จะทำให้เขาสามารถเข้าไปร่วมปะปนในงานเลี้ยงที่ไม่ได้รับเชิญเช่นนี้ได้
อาหารชุดแรกเริ่มจัดวางลงบนโต๊ะ
เสียงเพลงจากฝ่ายแสงสีเสียงแผ่วมาอ้อยอิ่ง
บนเวทีที่ฉากหลังเขียนข้อความที่เกี่ยวข้องกับการจัดงาน ด้านหน้าเวทีมีไมโครโฟนยื่นออกจากส่วนปลายสุดของขาตั้งไมค์รอพิธีกรอยู่แล้ว
ผู้คนเริ่มหนาตาและหนาหูด้วยเสียงพูดคุยสรวลเสเฮฮา
หลังพิธีกรทักทายแขกคน
การแสดงชุดแรกจากเด็ก ๆ ถูกจัดออกมาโชว์ เรียกเสียงฮือฮาได้อย่างครื้นเครง
ความพิศวงอยู่ที่ความสามารถเกินตัวของเด็ก ๆ แต่ละคนที่แสดงออกมาได้อย่างน่าทึ่ง
แต่ละการแสดงใช้เวลาเพียง 3 –5 นาที
ความสามารถที่เฉิดฉายด้วยเวลาประเดี๋ยวประด๋าวเช่นนี้
มีสิ่งที่อัศจรรย์ยิ่งกว่าอยู่เบื้องหลัง
ก่อนหน้านี้ราวหนึ่งเดือน
มีการประชุมของคณะกรรมการจัดงานหลายครั้ง แต่ละครั้งใช้เวลานานหลายชั่วโมง บ่อยครั้งที่เป็นการประชุมในยามค่ำคืน
จนความคิดได้ก่อรูปให้เห็นเป็นหุ่นงานในรูปแบบต่าง ๆ
กันรวมทั้งการแสดงบนเวทีในค่ำคืนนี้
เด็กนักเรียนที่ครูเตรียมไว้ ได้กล่าวต้อนรับเป็นภาษาต่างประเทศ เขาถูกฝึกและซักซ้อมให้โอภาปราศรัยทุก ๆ วัน ๆ ละ 2 - 3 ครั้ง โดยฝึกพูดครั้งละเล็กครั้งละน้อย แล้วนำมาร้อยเชื่อมต่อให้เป็นประโยค
เป็นข้อความ จนเป็นเรื่องเป็นราว จินตลีลาประกอบเพลงแต่ละคณะใช้กระบวนการเรียนรู้และฝึกฝนแบบเดียวกันคือ
เป็นกระบวนการผลิตซ้ำ แต่ที่สำคัญคือ ความมานะอดทนของครูและเด็กต่างก็มีไม่แพ้กันมันเป็นจิตพิสัยที่ใช้สร้างสรรค์งาน
จนลักษณะนามธรรมในจินตนาการแปรเปลี่ยนเป็นรูปธรรมลีลา นำความซาบซึ้งใจมาสู่ผู้ที่มีโอกาสได้ชื่นชมในผลงานการแสดงในแต่ละชุดดังกล่าวนั้น
ความเพลิดเพลินเดินหน้ากลืนกินกาลเวลาไปนานนับชั่วโมงโดยไม่รู้ตัว
จานอาหารบนโต๊ะเริ่มขยับตัวจัดระเบียบใหม่เพื่อให้พอดีกับพื้นที่อันจำกัด
บนผ้าปูโต๊ะเริ่มมีเศษอาหารจานแรก ในขณะที่น้ำหวานในขวดพร่องลงไปเกือบครึ่ง น้ำแข็งในโถพลาสติคละลายเป็นของเหลวจนที่คีบทำงานไม่มีประสิทธิภาพ
เด็กสองคนแฝงตัวเข้ามาซุ่มอยู่ในมุมมืดในระยะประชิดบริเวณงาน
ไม่มีใครเห็นเขาทั้งสองคน แต่ทั้งสองคนเห็นความเคลื่อนไหวในงานทั้งหมด
และที่สำคัญพวกเขากำหนดเป้าหมายที่หมายมั่นไว้หมดแล้ว
พิธีกรเชื้อเชิญประธานจัดงานกล่าวต้อนรับผู้มีเกียรติ
โดยการอ่านข้อความในแฟ้มที่มีเจ้าหน้าที่หยิบยืนให้
จนแทบจะไม่ได้กล่าวความรู้สึกที่แท้จริงของตนเองออกมาแต่อย่างใดพิธีการที่เป็นพิธีกรรมมักเป็นเช่นนี้
มันเป็นวัฒนธรรมของงานเลี้ยงที่ถูกจัดขึ้นอย่างเป็นทางการ เสียงปรบมือด้วยมารยาทของแขกคนดังขึ้นกลบเสียงพูดคุยเป็นเครื่องหมายแสดงให้รู้ว่า
บทบาทของประธานบนเวทีได้จบลงแล้ว
หลังจากนี้ไป.....บรรยากาศดูเหมือนจะคลี่คลายจากความเข้มงวดในพิธีรีตองลงไปมากโข
พิธีกรเริ่มพูดคุยหยอกล้อกับคนข้างล่าง และที่มักเป็นกฏเกณฑ์ไปโดยปริยายคือ
การที่พิธีกรขอร้องเพลงก่อนเป็นการเบิกโรง
เพื่อเปิดทางให้แขกคนที่เริ่มลดอัตราเร่งของการดื่มกินลงไปแล้วได้มีโอกาสขึ้นไปโก่งคอขันบ้าง
เวลาเดินทางมาถึงจนป่านนี้
แน่ล่ะแสงสีจากหลอดนีออนได้สาดส่องไปทั่วบริเวณงานเลี้ยงจนดูด้านนอกทมึนทึน
พิธีกรเริ่มจัดลำดับนักร้องสมัครเล่น โดยใช้โต๊ะอาหารแต่ละตัวเป็นเลขจำนวนนับ
มันก็เป็นการจัดลำดับการแสดงโดยใช้คณะของแขกที่มาจากที่ต่าง ๆ แลกเปลี่ยนกันนั่นเอง
จิตวิทยากลุ่มเช่นนี้ใช้ได้ผลมากกับการตรึงคนให้อยู่ในงานได้นานกว่าอายุของอาหารบนโต๊ะ
แม้ว่าอาหารชุดสุดท้ายจะจัดลงโต๊ะแล้ว แต่ผู้คนยังอยู่ฟังเพลงจากนักร้องที่เป็นตัวแทนของคณะต่าง
ๆ อย่างสนุกสนาน
บนโต๊ะเหลือเพียงเศษซากของกิจกรรมโภชนาการ
เสียงเพลงจากฝ่ายแสงสีเสียงแผ่วมาอ้อยอิ่ง หลังการกล่าวลาของพิธีกร
ไมโครโฟนหน้าเวทีถูกลงกล่องเรียบร้อยแล้ว
เหลือเพียงข้อความที่เกี่ยวข้องกับการจัดงาน ยังแนบตัวอยู่กับฉากเวที
งานเลี้ยงก็คืองานเลี้ยง
หลายคนไม่อยากเป็นที่หนึ่งของคนที่เดินออกจากโต๊ะ มันเป็นจิตวิทยาฝูงชน
บรรยากาศในงานจะบอกให้ทุกคนรู้เองว่า เวลาใดที่งานเลี้ยงสมควรเลิกรา
เด็กทั้งสองเคลื่อนตัวเข้าไปด้านหลังของบริเวณงานและแทรกตัวเข้าไปแทนที่แขกคนที่กำลังเคลื่อนตัวออกจากงานกันเป็นกลุ่ม
ๆ
คณะเจ้าภาพเคลื่อนตัวไปจัดขบวนแถวอยู่บริเวณทางออกงาน
ยกมือพนมไหว้และกล่าวขอบคุณผู้คนที่ต่างทยอยออกมาจากงานกันเป็นคณะ
มันเป็นการแสดงน้ำใสไมตรีและความมีเยื่อใยต่อกันแม้เพียงชั่วระยะเวลาเพียงข้าวมื้อหนึ่ง
งานเลี้ยงต้องมีวันเลิกรา
“ครูครับเห็นขวดน้ำเขียวผมมั้ยครับ
ผมวางไว้ตรงนี้มันหายไปไหน” เสียงเด็กดังมาจากมุมมืดด้านหลังของครูที่กำลังยืนส่งแขก
“อ้อ..ไม่เห็น” ครูหันไปตอบแบบไม่ค่อยสนใจ
“ไม่เป็นไรครับ สงสัยมือดีฉกไปซะแล้ว.....”
เขาเอ่ยกับครูแบบปลงตก
แล้วทั้งสองก็หอบถุงพลาสติคพะรุงพะรัง
เดินดุ่ม ๆ ฝ่าความมืดไปทางชุมชนแออัดนั้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น