วันพฤหัสบดีที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2558

สิ่งที่ครูอยากให้นักเรียนในวันครูแห่งชาติ



จงรักในที่ที่เราเกลียดชัง เยียวยาในที่เจ็บปวด สามัคคีในที่มีความบาดหมาง ให้แสงสว่างในที่ที่มีความมืดมิด ให้ความหวังในที่ที่หมดความหวัง ให้สันติภาพในที่ที่มีความบาดหมาง”


            สิบหกนาฬิกาวันนี้ ผมได้รับเชิญจาก ผอ. บุญเชิด โพธิ์หมื่นทิพย์ให้ไปตอบคำถามนักเรียนที่เรียกกันว่า “กัปตัน” ที่ห้องประชุมอาคารธุรการ ที่นั่นมีกลุ่มนักเรียนประมาณ 10 คนนั่งรอบโต๊ะประชุมและมีผอ. สำนาน ไชยโคตร รวมอยู่ด้วย
                ผมยินดีในคำถามของเด็ก ๆ ทุกคน มันเป็นกุศโลบายให้เด็ก ๆ รู้จักคิด รู้จักสงสัย รู้จักอย่างรู้อยากเห็น สิ่งเหล่านี้พวกเขาเคยปฏิบัติมาแล้วในวัยที่พอจะพูดอ้อมแอ้มได้เป็นประโยค ความอยากรู้อยากเห็นเป็นธรรมชาติของมนุษย์ แต่ทำไมเมื่อเด็ก ๆ โตขึ้นมาจนใช้ชีวิตอยู่ในระบบโรงเรียน คุณสมบัติเหล่านี้จึงหายไปจากเด็ก ๆ ของพวกเรา แทนที่จะตั้งคำถามให้มากขึ้นกว่าเดิม
                การพูดคุยจบลงด้วยเนื้อหาสาระเกี่ยวกับเป้าประสงค์ของการเรียนการสอนในโรงเรียนของเรา ธุรกิจคือ คำที่พวกเราพูดวนไปวนมา แต่มันเป็นคำตอบมากกว่าคำถาม คำถามของคนเราเกิดมากจากแรงบันดาลใจ เรามีแรงบันดาลใจอะไร เราก็จะมีคำถามในเรื่องนั้น ๆ มาก  การถามมาก ๆ เพื่อให้รู้คำตอบก็คือการค้นคว้าวิจัย การเรียนรู้ที่ดีจึงสำคัญที่การรู้จักตั้งคำถาม


                             "ผู้นำนักเรียนสัมภาษณ์ผู้อำนวยการถึงแรงจูงใจที่อยากมาบริหารที่นี่"

                มีสิ่งหนึ่งที่สร้างแรงบันดาลใจให้คนอยากรู้อยากเรียนมากขึ้นก็คือ หนังสือ ผมกลับมาถึงบ้านจึงหยิบหนังสือขึ้นมาเขียนแนะนำนักเรียนเพื่อให้คนที่อ่านมีแรงบันดาลใจตั้งคำถามเกี่ยวกับธุรกิจ
                ย้อนเวลาไปในช่วงของการเฉลิมฉลองและการกล่าวคำอวยพร คำอวยพรที่คนให้กันมากคือ ขอให้มีความสุขและร่ำรวยเงินทอง ไม่มีใครอวยพรให้ใครต่อใครเสียสละให้มากขึ้น แต่ในเทศกาลแห่งการอวยพรให้กันนี้ มีสิ่งหนึ่งที่คนไทยนิยมทำกันโดยไม่ต้องรอใครบอกคือ การถือโอกาสทำบุญทำกุศลกันตามวัด ตามโรงเรียนและสาธารณะสถานต่าง ๆ ซึ่งเป็นการเสียสละกันเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ตนและครอบครัว
                สิ่งหนึ่งที่ทุกคนรู้สึกเหมือนกันเวลาไปทำบุญคือ แรงปรารถนามีมากแต่แรงทรัพย์มีไม่ถึงที่อยากจะเสียสละให้เท่าที่คิดอยากทำ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเรายังมีไม่มากพอเท่าที่อยากจะเสียสละ
                ในเรื่องการเสียสละนี้ ไปพบบุคคลที่เป็นมหาเศรษฐีระดับโลกเขามีทัศนคติเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้อย่างน่าสนใจมาก ๆ จากหนังสือชื่อ ถึงเวลาท้าทายสมอง (Brain Challenge) แต่งโดยหนูดี ดร.วนิษา เรช ที่คิดทำธุรกิจเพราะมีแรงบันดาลใจอยากช่วยสังคมแต่ไม่มีทุนทรัพย์มากเท่าที่อยากทำ
                ครั้งหนึ่ง ดร.หนูดีกล่าวว่า “ถึงจุดหนึ่งซึ่งความอดทนในการเขียนขอทุนและถูกปฏิเสธไปเรื่อย ๆ คงใกล้หมด หนึ่งในรุ่นพี่สองคนก็พูดขึ้นมาว่า ทำงานนี้ให้เป็นธุรกิจกันเถอะ ซึ่งอีกคนหนึ่งก็เถียงกันขึ้นมาทันทีว่า แต่เราสองคนไม่อยากเป็นนักธุรกิจไง เราตกลงกันแล้วว่า เราจะทำงานนี้เพื่อช่วยเหลือสังคม” นี่เป็นข้อหารือของรุ่นพี่ที่เรียนด้านวิจัยในสถาบันเดียวกันหารือกัน
                จากนั้นมาก็เกิดออฟฟิศเล็ก ๆ ในโรงรถเก่ากับพนักงานห้าคน ภายในปีเดียวก็เข้าสู่รูปแบบการทำเป็นธุรกิจใช้การตลาด การประชาสัมพันธ์เข้ามาช่วยจับผลิตภัณฑ์และใช้วิธีการขายไปเลย โดยไม่ต้องขอเงินทุนมาสนับสนุนการแจกฟรี เขาสามารถเพิ่มพนักงานเป็น 112 คนและมีเงินพอไปเช่าออฟฟิศที่ตึกระฟ้าใจกลางมหานครนิวยอร์ค มองเห็นอ่าวกว้าง เพื่อรองรอบการเจริญเติบโต
                สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเพียงแต่เปลี่ยนมุมคิดจากเดิมว่า การทำธุรกิจไม่ใช่โลกของการเอารัดเอาเปรียบ การชิงไหวชิงพริบ การเอามาให้ได้มากกว่าสิ่งที่เราให้ไป การละโมบโลภมาก คิดอะไรเป็นเงินเป็นทองไปหมด แต่จริง ๆ แล้ว โครงสร้างทางธุรกิจที่แข็งแกร่งกลับทำให้ความฝัน ความหวัง ความตั้งใจที่เราอยากจะช่วยเหลือคนอื่นเป็นจริงขึ้นมาได้ โดยไม่ต้องไปหวังพึ่งพาเงินทองจากการขอทุน
                จากนั้นเครื่องมือดิจิตัลของรุ่นพี่ทั้งสองขายดีเป็นเทน้ำเทท่า แม้ราคาจะไม่ถูกเลยแต่คนเต็มใจซื้อ


                                    "แรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่อาจเกิดจากถ้อยคำไม่กี่ประโยค"

                สำหรับคนที่รวยระดับโลกเขาคิดอย่างไรกับการเสียสละ ดร.หนูดี กล่าวว่า วอร์เรน บัฟเฟต เจ้าพ่อหุ้นรวยอันดับหนึ่งของโลก ได้จัดทำคำปฏิญาณเพื่อสาธารณประโยชน์มีข้อความว่า ในปี พ.ศ. 2549 ผมได้ตัดสินใจยกสินทรัพย์ทั้งหมดของบริษัทเบิรฺคเชอร์ แฮทธะเวย์ของผมให้กับมูลนิธิที่ไม่แสวงหาผลกำไร ผมไม่สามารถมีความสุขไปกว่านี้ได้ สำหรับการตัดสินใจครั้งนี้และในเวลานี้ บิลและเมลินดา เกตส์และผมก็กำลังขอให้คนอเมริกันที่มั่งคั่งกันอีกหลายร้อยคนเขียนคำมั่นจะยกสินทรัพย์อย่างน้อย 50% ของพวกเขาให้การกุศล ดังนั้น ตอนนี้ ผมจึงเห็นว่า มันสำคัญที่ผมจะกล่าวย้ำและอธิบายว่า ความคิดอะไรอยู่เบื้องหลังของการกระทำของผมในครั้งนี้ อันดับแรก คือ 99% ของความมั่งคั่งของผมจะถูกบริจาคให้การกุศลภายในเวลาที่ผมยังมีชีวิตอยู่หรือเมื่อผมตายไปแล้ว ถ้าหากนับกันเป็นดอลล่าร์ คำมั่นสัญญานี้ก็เป็นเงินมากอยู่
                แต่หากเปรียบเทียบกันตามอัตราส่วนจริง ๆ ผมว่าคนธรรมดาจำนวนมากในสังคมของเรามอบหั้คนอื่นกว่านี้ทุก ๆ วัน คนเป็นล้าน ๆ คนมอบเงินให้โบสถ์ ให้โรงเรียน ให้มูลนิธิ โดยเงินก้อนนี้ก็ต้องนำมาจากเงินที่จะใช้จ่ายในครอบครัวของตัวเอง เงินที่พวกเขาให้ไป หมายถึง การไม่ได้ดูหนัง การงดไปรับประทานอาหารนอกบ้านบางมื้อ การงดซื้อของที่อยากได้บางชิ้น ในทางตรงกันข้าม ครอบครัวของผมไม่ต้องงดสิ่งใดเลยในการให้ถึง 99% ของทรัพย์สินที่เรามีอยู่ ที่สำคัญคำมั่นสัญญาแห่งการให้ครั้งนี้ ผมไม่ได้ให้ ในสิ่งที่สำคัญที่สุดของผมสิ่งนั้นคือ “เวลา”
                คนจำนวนมาก รวมถึงลูกทั้งสามคนของผม ซึ่งผมพูดด้วยความภาคภูมิใจว่า ได้ให้ทั้งเวลาและความสามารถของตนเองในการช่วยเหลือผู้อื่น


                                                       
                คนจำนวนหนึ่งถูกสอนมาว่าการหาเงินเป็นความโลภอย่างหนึ่ง จึงทำให้แรงจูงใจในการหาเงินถูกลดทอนไปมาก ซึ่งคนจำนวนดังกล่าวนั้นมีชีวิตสะดวกสบายอยู่ได้ ส่วนหนึ่งก็เพราะมีเงินใช้จ่าย เมื่อถึงเวลาจะเสียสละด้วยทุนทรัพย์จึงเสียสละได้ไม่มากเท่ากับที่ตนอยากจะเสียสละหรือเท่ากับคนที่หาเงินได้เยอะ ๆ
                การปฏิญาณตนเพื่อการบริจาคของ วอร์เรน บัฟเฟต จึงเป็นการประกาศให้ทุกคนได้เห็นว่า ส่วนเกินของชีวิตควรอุทิศให้สังคมนั้นมีอยู่จริง
                หนังสือเล่มนี้น่าอ่าน พิมพ์ครั้งที่ 2 ตุลาคม 2557 จัดพิมพ์โดยบริษัทสมองดีกับหนูดีจำกัด จำนวน168 หน้า ที่คัดมานี้ เป็นตัวอย่างบางตอน ส่วนที่เหลือล้วนแต่หน้าสนใจให้ความคิดใหม่ด้วยกันทั้งสิ้น


                จึงมอบสิ่งดีๆนี้ เพื่อเป็นของขวัญในวันครูแห่งชาติปี 2558  แก่ทุก ๆ ท่านครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น