วันพุธที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2558

ถนนสายกรอกแกรก



                ข่าวการมาของผม ทำให้ครูไชยวัฒน์ งามจิตร ครูฝ่ายปกครองออกมาดักรอผมที่หน้าอาคารธุรการในเช้าวันที่อากาศหนาวเหน็บ เราเดินไปตามถนนเข้าสู่อาคารเรียน โดยเริ่มจากห้องเรียนชั้น ม. 1 เรื่อยไปตามลำดับจนถึงชั้นม.6 จากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง ผ่านถนนในโรงเรียนที่โรยด้วยหินกรวด นักเรียนเคยอธิบายให้ผมฟังว่า ถนนสายนี้มีความหมายว่า “ความลับไม่มีในโลก” เสียงฝีเท้าที่ย่ำลงไปบนถนนเสียงดังกรอกแกรก เป็นการเตือนว่า ความลับไม่มีในโลก แม้ขณะที่คนอื่นไม่ได้ยินเสียง แต่เจ้าของฝีเท้าย่อมได้ยินเสียงของตนเองแม้ก้าวเดินตามลำพัง



                                       "ถนนสายกรอกแกรกที่บอกเตือนความลับไม่มีในโลก"

                วันนี้ถนนทุกสายคึกคักไปด้วยผู้คนที่ออกมาบอกความลับของตนเอง ด้วยการ Introduce myself
                Mr. Aka Hata อดีตเจ้าหน้าที่สายการบินเจแปนแอร์ไลน์ (Japan Airline) วัย 73 ปี เดินทางมาจากประเทศญี่ปุ่น อาสาสอนภาษาญี่ปุ่นให้กับนักเรียน
               “ผมมาที่นี่สองครั้งแล้ว สุขภาพยังแข็งแรง ผมชอบกีฬาไต่เขา “ มิสเตอร์อากะ ฮาต้ากล่าวอย่างอารมณ์แจ่มใส พลางเอามือไปคลึงที่หน้าอกตนเอง แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่ง
                ในเวลาไล่กันครูชาวญี่ปุ่นและกัมพูชา เข้ามาแนะนำตัวว่าจะเข้าสอนภาษาอังกฤษให้กับนักเรียนในระดับชั้นม.ต้น “พวกผมมากับทีมงานสอนภาษาอังกฤษสายฟ้าแลบครูชาวญี่ปุ่นกล่าว
                 และเมื่อทุกคนไปรวมตัวกันที่โรงอาหารในเวลาเที่ยงยี่สิบนาที จึงรู้ว่าที่โรงเรียนเป็นที่ชุมนุมชาวต่างประเทศที่มาทำหน้าที่อาสาสมัครสอนภาษาอังกฤษให้กับนักเรียนในโรงเรียนและเครือข่ายโรงเรียนขนาดเล็ก ชาวต่างประเทศดังกล่าว อาทิเช่น อังกฤษ เนเธอร์แลนด์ มาเลเซีย กัมพูชา สิงคโปร์ จีนและญี่ปุ่น เป็นต้น
                  การแนะนำตนเองของแต่ละคนเป็นไปอย่างคึกคัก เป็นบรรยากาศของการรู้จักกันครั้งแรก ทุกคนใช้ภาษาอังกฤษสำเนียงเหน่อตามชาติพันธุ์ของตนเอง อาหารเที่ยงวันนี้จึงเหมือนเป็นการเลี่ยงต้อนรับกันและกัน ด้วยขนมจีนน้ำยา ข้าวสวย แกงกะทิ หน่อไม้ต้ม น้ำพริกกะปิ และแตงแคลตาลูป
                  อีกฟากหนึ่งของโรงอาหารเป็นกลุ่มนักเรียน พร้อมใจกันกล่าวคำขอบคุณ ข้าวปลาอาหารที่ให้ความอิ่มหนำในมื้อนั้น
                  ทุกคนมีถาดหลุมเป็นภาชนะใส่อาหาร มันเป็นความเสมอภาคด้านโภชนาการ

                  หลังอาหารเที่ยงมื้อนี้ครูเชลล์ (ครูพงศกร จะโรจน์รัมย์) มากระซิบบอกให้ผมเตรียมแนะนำตนเองกับนักเรียนในที่ประชุมสโมสร
                  ผมแนะนำตนเองกับนักเรียนครั้งแรกโดยใช้ภาษาอังกฤษสำเนียงไทย นักเรียนเงียบตั้งใจฟัง ผมเชื่อว่าทุกคนพอจะรู้ในสิ่งที่ผมกล่าว เสียงปรบมือหลังการจบการแนะนำตัว ทำให้ผมมั่นใจว่านักเรียนเข้าใจและคุ้นเคยกับวัฒนธรรมของการเรียนรู้ในโรงเรียนแห่งนี้
                   เพราะไม่มีเสียวหัวเราะขบขัน


                                                        "นักเรียนผู้มาจากอีกฟากฝั่งของสะพานมังกร"

                   ก่อนหน้านี้มีผู้มากล่าวคำแนะนำตนเองในบทบาทของผู้อำนวยการโรงเรียนมาแล้วประมาณ 6 คน ในขณะที่อายุของโรงเรียนเจริญวัยได้เพียง 6 ขวบ นี่เป็นการบอกเป็นนัย ๆ ว่า มีการเปลี่ยนตัวผู้อำนวยการโรงเรียนบ่อยครั้ง
                  “การแนะนำตัวของผอ.วันนี้ เป็นการแนะนำในฐานะว่าที่ ผอ. ไม่ทราบว่าจะผ่านการทดลองงานหรือไม่ ฝากนักเรียนแนะนำผอ.ด้วยว่า การจะอยู่ทำงานได้นานทำอย่างไร” ผมพูดติดตลกให้ดูผ่อนคลาย
                  แต่จะว่าไปแล้ว นักเรียนโรงเรียนนี้เป็นส่วนหนึ่งของการคัดครูเข้าทำงาน
                “มันเป็นสิทธิของผู้บริโภคที่ควรจะบอกได้ว่า อาหารที่เขารับประทานมีรสชาดอย่างไร เขาพอใจหรือไม่” คุณวีระ ไวทยะ เคยกล่าวไว้
                ในช่วงท้ายของวันเวลา 16.30 น. คุณบุญเชิด โพธิ์หมื่นทิพย์ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาชนบท 6 นัดประชุมครูทั้งหมด หลังการแนะนำตัวว่าที่ครูใหม่ 2 คนและผู้อำนวยการโรงเรียนแล้ว พวกเราได้ลงมือศึกษาเส้นทางใหม่ของการศึกษาในชนบท โดยคุณบุญเชิด เป็นผู้บรรยายให้ฟัง ทำให้รู้ว่าจุดเน้นของโรงเรียนมี 6 ข้อคือ
             1.  สร้างคนดี
             2.  สร้างคนให้บริหารและจัดการเป็น
             3.  สามารถทำธุรกิจได้
             4.  ธุรกิจเลี้ยงตนเอง ครอบครัวและช่วยเหลือชุมชน
             5.  ให้คนชนบทสามารถมีชีวิตอยู่ในชนบทได้

                 นี่คือประเด็นหลักของการจัดการเรียนการสอนในโรงเรียน



                           "ด้านหลังผู้อำนวยการคือหัวสะพานมังกรท่าขนถ่ายอวิชา"


                  ผมเดินข้ามสะพานมังกรมาจากฝั่งที่มีดวงไฟสว่างไสวด้วยพลังโซล่าเซลล์ ซึ่งประดุจพลังแห่งการ
เรียนรู้ มันได้ส่องประกายกระจ่างใจมล ตลอดวันของวันนี้ผมได้เรียนรู้อะไรมากมาย
แต่ที่หัวสะพานฝั่งตะวันตกดูมันมืดมิดไร้แสงไฟ เท้าของผมก้าวพ้นแสงสว่างที่ส่องทางอยู่ด้านหลังมาได้ไม่นานก็เข้าสู่ความมืดของย่ำค่ำ  ผมต้องปั่นเจ้าสองล้อกลับบ้านอย่างระมัดระวัง เสมือนหนึ่งชีวิตที่ดำเนินในความมืดแห่งปัญญาเป็นอันตรายยิ่งนัก

                  พรุ่งนี้เช้าเสียงดังกรอกแกรกจะสะกิดเตือนซ้ำอีกครั้ง



                

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น