วันพฤหัสบดีที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2558

สิ่งที่ครูอยากให้นักเรียนในวันครูแห่งชาติ



จงรักในที่ที่เราเกลียดชัง เยียวยาในที่เจ็บปวด สามัคคีในที่มีความบาดหมาง ให้แสงสว่างในที่ที่มีความมืดมิด ให้ความหวังในที่ที่หมดความหวัง ให้สันติภาพในที่ที่มีความบาดหมาง”


            สิบหกนาฬิกาวันนี้ ผมได้รับเชิญจาก ผอ. บุญเชิด โพธิ์หมื่นทิพย์ให้ไปตอบคำถามนักเรียนที่เรียกกันว่า “กัปตัน” ที่ห้องประชุมอาคารธุรการ ที่นั่นมีกลุ่มนักเรียนประมาณ 10 คนนั่งรอบโต๊ะประชุมและมีผอ. สำนาน ไชยโคตร รวมอยู่ด้วย
                ผมยินดีในคำถามของเด็ก ๆ ทุกคน มันเป็นกุศโลบายให้เด็ก ๆ รู้จักคิด รู้จักสงสัย รู้จักอย่างรู้อยากเห็น สิ่งเหล่านี้พวกเขาเคยปฏิบัติมาแล้วในวัยที่พอจะพูดอ้อมแอ้มได้เป็นประโยค ความอยากรู้อยากเห็นเป็นธรรมชาติของมนุษย์ แต่ทำไมเมื่อเด็ก ๆ โตขึ้นมาจนใช้ชีวิตอยู่ในระบบโรงเรียน คุณสมบัติเหล่านี้จึงหายไปจากเด็ก ๆ ของพวกเรา แทนที่จะตั้งคำถามให้มากขึ้นกว่าเดิม
                การพูดคุยจบลงด้วยเนื้อหาสาระเกี่ยวกับเป้าประสงค์ของการเรียนการสอนในโรงเรียนของเรา ธุรกิจคือ คำที่พวกเราพูดวนไปวนมา แต่มันเป็นคำตอบมากกว่าคำถาม คำถามของคนเราเกิดมากจากแรงบันดาลใจ เรามีแรงบันดาลใจอะไร เราก็จะมีคำถามในเรื่องนั้น ๆ มาก  การถามมาก ๆ เพื่อให้รู้คำตอบก็คือการค้นคว้าวิจัย การเรียนรู้ที่ดีจึงสำคัญที่การรู้จักตั้งคำถาม


                             "ผู้นำนักเรียนสัมภาษณ์ผู้อำนวยการถึงแรงจูงใจที่อยากมาบริหารที่นี่"

                มีสิ่งหนึ่งที่สร้างแรงบันดาลใจให้คนอยากรู้อยากเรียนมากขึ้นก็คือ หนังสือ ผมกลับมาถึงบ้านจึงหยิบหนังสือขึ้นมาเขียนแนะนำนักเรียนเพื่อให้คนที่อ่านมีแรงบันดาลใจตั้งคำถามเกี่ยวกับธุรกิจ
                ย้อนเวลาไปในช่วงของการเฉลิมฉลองและการกล่าวคำอวยพร คำอวยพรที่คนให้กันมากคือ ขอให้มีความสุขและร่ำรวยเงินทอง ไม่มีใครอวยพรให้ใครต่อใครเสียสละให้มากขึ้น แต่ในเทศกาลแห่งการอวยพรให้กันนี้ มีสิ่งหนึ่งที่คนไทยนิยมทำกันโดยไม่ต้องรอใครบอกคือ การถือโอกาสทำบุญทำกุศลกันตามวัด ตามโรงเรียนและสาธารณะสถานต่าง ๆ ซึ่งเป็นการเสียสละกันเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ตนและครอบครัว
                สิ่งหนึ่งที่ทุกคนรู้สึกเหมือนกันเวลาไปทำบุญคือ แรงปรารถนามีมากแต่แรงทรัพย์มีไม่ถึงที่อยากจะเสียสละให้เท่าที่คิดอยากทำ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเรายังมีไม่มากพอเท่าที่อยากจะเสียสละ
                ในเรื่องการเสียสละนี้ ไปพบบุคคลที่เป็นมหาเศรษฐีระดับโลกเขามีทัศนคติเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้อย่างน่าสนใจมาก ๆ จากหนังสือชื่อ ถึงเวลาท้าทายสมอง (Brain Challenge) แต่งโดยหนูดี ดร.วนิษา เรช ที่คิดทำธุรกิจเพราะมีแรงบันดาลใจอยากช่วยสังคมแต่ไม่มีทุนทรัพย์มากเท่าที่อยากทำ
                ครั้งหนึ่ง ดร.หนูดีกล่าวว่า “ถึงจุดหนึ่งซึ่งความอดทนในการเขียนขอทุนและถูกปฏิเสธไปเรื่อย ๆ คงใกล้หมด หนึ่งในรุ่นพี่สองคนก็พูดขึ้นมาว่า ทำงานนี้ให้เป็นธุรกิจกันเถอะ ซึ่งอีกคนหนึ่งก็เถียงกันขึ้นมาทันทีว่า แต่เราสองคนไม่อยากเป็นนักธุรกิจไง เราตกลงกันแล้วว่า เราจะทำงานนี้เพื่อช่วยเหลือสังคม” นี่เป็นข้อหารือของรุ่นพี่ที่เรียนด้านวิจัยในสถาบันเดียวกันหารือกัน
                จากนั้นมาก็เกิดออฟฟิศเล็ก ๆ ในโรงรถเก่ากับพนักงานห้าคน ภายในปีเดียวก็เข้าสู่รูปแบบการทำเป็นธุรกิจใช้การตลาด การประชาสัมพันธ์เข้ามาช่วยจับผลิตภัณฑ์และใช้วิธีการขายไปเลย โดยไม่ต้องขอเงินทุนมาสนับสนุนการแจกฟรี เขาสามารถเพิ่มพนักงานเป็น 112 คนและมีเงินพอไปเช่าออฟฟิศที่ตึกระฟ้าใจกลางมหานครนิวยอร์ค มองเห็นอ่าวกว้าง เพื่อรองรอบการเจริญเติบโต
                สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเพียงแต่เปลี่ยนมุมคิดจากเดิมว่า การทำธุรกิจไม่ใช่โลกของการเอารัดเอาเปรียบ การชิงไหวชิงพริบ การเอามาให้ได้มากกว่าสิ่งที่เราให้ไป การละโมบโลภมาก คิดอะไรเป็นเงินเป็นทองไปหมด แต่จริง ๆ แล้ว โครงสร้างทางธุรกิจที่แข็งแกร่งกลับทำให้ความฝัน ความหวัง ความตั้งใจที่เราอยากจะช่วยเหลือคนอื่นเป็นจริงขึ้นมาได้ โดยไม่ต้องไปหวังพึ่งพาเงินทองจากการขอทุน
                จากนั้นเครื่องมือดิจิตัลของรุ่นพี่ทั้งสองขายดีเป็นเทน้ำเทท่า แม้ราคาจะไม่ถูกเลยแต่คนเต็มใจซื้อ


                                    "แรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่อาจเกิดจากถ้อยคำไม่กี่ประโยค"

                สำหรับคนที่รวยระดับโลกเขาคิดอย่างไรกับการเสียสละ ดร.หนูดี กล่าวว่า วอร์เรน บัฟเฟต เจ้าพ่อหุ้นรวยอันดับหนึ่งของโลก ได้จัดทำคำปฏิญาณเพื่อสาธารณประโยชน์มีข้อความว่า ในปี พ.ศ. 2549 ผมได้ตัดสินใจยกสินทรัพย์ทั้งหมดของบริษัทเบิรฺคเชอร์ แฮทธะเวย์ของผมให้กับมูลนิธิที่ไม่แสวงหาผลกำไร ผมไม่สามารถมีความสุขไปกว่านี้ได้ สำหรับการตัดสินใจครั้งนี้และในเวลานี้ บิลและเมลินดา เกตส์และผมก็กำลังขอให้คนอเมริกันที่มั่งคั่งกันอีกหลายร้อยคนเขียนคำมั่นจะยกสินทรัพย์อย่างน้อย 50% ของพวกเขาให้การกุศล ดังนั้น ตอนนี้ ผมจึงเห็นว่า มันสำคัญที่ผมจะกล่าวย้ำและอธิบายว่า ความคิดอะไรอยู่เบื้องหลังของการกระทำของผมในครั้งนี้ อันดับแรก คือ 99% ของความมั่งคั่งของผมจะถูกบริจาคให้การกุศลภายในเวลาที่ผมยังมีชีวิตอยู่หรือเมื่อผมตายไปแล้ว ถ้าหากนับกันเป็นดอลล่าร์ คำมั่นสัญญานี้ก็เป็นเงินมากอยู่
                แต่หากเปรียบเทียบกันตามอัตราส่วนจริง ๆ ผมว่าคนธรรมดาจำนวนมากในสังคมของเรามอบหั้คนอื่นกว่านี้ทุก ๆ วัน คนเป็นล้าน ๆ คนมอบเงินให้โบสถ์ ให้โรงเรียน ให้มูลนิธิ โดยเงินก้อนนี้ก็ต้องนำมาจากเงินที่จะใช้จ่ายในครอบครัวของตัวเอง เงินที่พวกเขาให้ไป หมายถึง การไม่ได้ดูหนัง การงดไปรับประทานอาหารนอกบ้านบางมื้อ การงดซื้อของที่อยากได้บางชิ้น ในทางตรงกันข้าม ครอบครัวของผมไม่ต้องงดสิ่งใดเลยในการให้ถึง 99% ของทรัพย์สินที่เรามีอยู่ ที่สำคัญคำมั่นสัญญาแห่งการให้ครั้งนี้ ผมไม่ได้ให้ ในสิ่งที่สำคัญที่สุดของผมสิ่งนั้นคือ “เวลา”
                คนจำนวนมาก รวมถึงลูกทั้งสามคนของผม ซึ่งผมพูดด้วยความภาคภูมิใจว่า ได้ให้ทั้งเวลาและความสามารถของตนเองในการช่วยเหลือผู้อื่น


                                                       
                คนจำนวนหนึ่งถูกสอนมาว่าการหาเงินเป็นความโลภอย่างหนึ่ง จึงทำให้แรงจูงใจในการหาเงินถูกลดทอนไปมาก ซึ่งคนจำนวนดังกล่าวนั้นมีชีวิตสะดวกสบายอยู่ได้ ส่วนหนึ่งก็เพราะมีเงินใช้จ่าย เมื่อถึงเวลาจะเสียสละด้วยทุนทรัพย์จึงเสียสละได้ไม่มากเท่ากับที่ตนอยากจะเสียสละหรือเท่ากับคนที่หาเงินได้เยอะ ๆ
                การปฏิญาณตนเพื่อการบริจาคของ วอร์เรน บัฟเฟต จึงเป็นการประกาศให้ทุกคนได้เห็นว่า ส่วนเกินของชีวิตควรอุทิศให้สังคมนั้นมีอยู่จริง
                หนังสือเล่มนี้น่าอ่าน พิมพ์ครั้งที่ 2 ตุลาคม 2557 จัดพิมพ์โดยบริษัทสมองดีกับหนูดีจำกัด จำนวน168 หน้า ที่คัดมานี้ เป็นตัวอย่างบางตอน ส่วนที่เหลือล้วนแต่หน้าสนใจให้ความคิดใหม่ด้วยกันทั้งสิ้น


                จึงมอบสิ่งดีๆนี้ เพื่อเป็นของขวัญในวันครูแห่งชาติปี 2558  แก่ทุก ๆ ท่านครับ

วันพุธที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2558

ถนนสายกรอกแกรก



                ข่าวการมาของผม ทำให้ครูไชยวัฒน์ งามจิตร ครูฝ่ายปกครองออกมาดักรอผมที่หน้าอาคารธุรการในเช้าวันที่อากาศหนาวเหน็บ เราเดินไปตามถนนเข้าสู่อาคารเรียน โดยเริ่มจากห้องเรียนชั้น ม. 1 เรื่อยไปตามลำดับจนถึงชั้นม.6 จากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง ผ่านถนนในโรงเรียนที่โรยด้วยหินกรวด นักเรียนเคยอธิบายให้ผมฟังว่า ถนนสายนี้มีความหมายว่า “ความลับไม่มีในโลก” เสียงฝีเท้าที่ย่ำลงไปบนถนนเสียงดังกรอกแกรก เป็นการเตือนว่า ความลับไม่มีในโลก แม้ขณะที่คนอื่นไม่ได้ยินเสียง แต่เจ้าของฝีเท้าย่อมได้ยินเสียงของตนเองแม้ก้าวเดินตามลำพัง



                                       "ถนนสายกรอกแกรกที่บอกเตือนความลับไม่มีในโลก"

                วันนี้ถนนทุกสายคึกคักไปด้วยผู้คนที่ออกมาบอกความลับของตนเอง ด้วยการ Introduce myself
                Mr. Aka Hata อดีตเจ้าหน้าที่สายการบินเจแปนแอร์ไลน์ (Japan Airline) วัย 73 ปี เดินทางมาจากประเทศญี่ปุ่น อาสาสอนภาษาญี่ปุ่นให้กับนักเรียน
               “ผมมาที่นี่สองครั้งแล้ว สุขภาพยังแข็งแรง ผมชอบกีฬาไต่เขา “ มิสเตอร์อากะ ฮาต้ากล่าวอย่างอารมณ์แจ่มใส พลางเอามือไปคลึงที่หน้าอกตนเอง แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่ง
                ในเวลาไล่กันครูชาวญี่ปุ่นและกัมพูชา เข้ามาแนะนำตัวว่าจะเข้าสอนภาษาอังกฤษให้กับนักเรียนในระดับชั้นม.ต้น “พวกผมมากับทีมงานสอนภาษาอังกฤษสายฟ้าแลบครูชาวญี่ปุ่นกล่าว
                 และเมื่อทุกคนไปรวมตัวกันที่โรงอาหารในเวลาเที่ยงยี่สิบนาที จึงรู้ว่าที่โรงเรียนเป็นที่ชุมนุมชาวต่างประเทศที่มาทำหน้าที่อาสาสมัครสอนภาษาอังกฤษให้กับนักเรียนในโรงเรียนและเครือข่ายโรงเรียนขนาดเล็ก ชาวต่างประเทศดังกล่าว อาทิเช่น อังกฤษ เนเธอร์แลนด์ มาเลเซีย กัมพูชา สิงคโปร์ จีนและญี่ปุ่น เป็นต้น
                  การแนะนำตนเองของแต่ละคนเป็นไปอย่างคึกคัก เป็นบรรยากาศของการรู้จักกันครั้งแรก ทุกคนใช้ภาษาอังกฤษสำเนียงเหน่อตามชาติพันธุ์ของตนเอง อาหารเที่ยงวันนี้จึงเหมือนเป็นการเลี่ยงต้อนรับกันและกัน ด้วยขนมจีนน้ำยา ข้าวสวย แกงกะทิ หน่อไม้ต้ม น้ำพริกกะปิ และแตงแคลตาลูป
                  อีกฟากหนึ่งของโรงอาหารเป็นกลุ่มนักเรียน พร้อมใจกันกล่าวคำขอบคุณ ข้าวปลาอาหารที่ให้ความอิ่มหนำในมื้อนั้น
                  ทุกคนมีถาดหลุมเป็นภาชนะใส่อาหาร มันเป็นความเสมอภาคด้านโภชนาการ

                  หลังอาหารเที่ยงมื้อนี้ครูเชลล์ (ครูพงศกร จะโรจน์รัมย์) มากระซิบบอกให้ผมเตรียมแนะนำตนเองกับนักเรียนในที่ประชุมสโมสร
                  ผมแนะนำตนเองกับนักเรียนครั้งแรกโดยใช้ภาษาอังกฤษสำเนียงไทย นักเรียนเงียบตั้งใจฟัง ผมเชื่อว่าทุกคนพอจะรู้ในสิ่งที่ผมกล่าว เสียงปรบมือหลังการจบการแนะนำตัว ทำให้ผมมั่นใจว่านักเรียนเข้าใจและคุ้นเคยกับวัฒนธรรมของการเรียนรู้ในโรงเรียนแห่งนี้
                   เพราะไม่มีเสียวหัวเราะขบขัน


                                                        "นักเรียนผู้มาจากอีกฟากฝั่งของสะพานมังกร"

                   ก่อนหน้านี้มีผู้มากล่าวคำแนะนำตนเองในบทบาทของผู้อำนวยการโรงเรียนมาแล้วประมาณ 6 คน ในขณะที่อายุของโรงเรียนเจริญวัยได้เพียง 6 ขวบ นี่เป็นการบอกเป็นนัย ๆ ว่า มีการเปลี่ยนตัวผู้อำนวยการโรงเรียนบ่อยครั้ง
                  “การแนะนำตัวของผอ.วันนี้ เป็นการแนะนำในฐานะว่าที่ ผอ. ไม่ทราบว่าจะผ่านการทดลองงานหรือไม่ ฝากนักเรียนแนะนำผอ.ด้วยว่า การจะอยู่ทำงานได้นานทำอย่างไร” ผมพูดติดตลกให้ดูผ่อนคลาย
                  แต่จะว่าไปแล้ว นักเรียนโรงเรียนนี้เป็นส่วนหนึ่งของการคัดครูเข้าทำงาน
                “มันเป็นสิทธิของผู้บริโภคที่ควรจะบอกได้ว่า อาหารที่เขารับประทานมีรสชาดอย่างไร เขาพอใจหรือไม่” คุณวีระ ไวทยะ เคยกล่าวไว้
                ในช่วงท้ายของวันเวลา 16.30 น. คุณบุญเชิด โพธิ์หมื่นทิพย์ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาชนบท 6 นัดประชุมครูทั้งหมด หลังการแนะนำตัวว่าที่ครูใหม่ 2 คนและผู้อำนวยการโรงเรียนแล้ว พวกเราได้ลงมือศึกษาเส้นทางใหม่ของการศึกษาในชนบท โดยคุณบุญเชิด เป็นผู้บรรยายให้ฟัง ทำให้รู้ว่าจุดเน้นของโรงเรียนมี 6 ข้อคือ
             1.  สร้างคนดี
             2.  สร้างคนให้บริหารและจัดการเป็น
             3.  สามารถทำธุรกิจได้
             4.  ธุรกิจเลี้ยงตนเอง ครอบครัวและช่วยเหลือชุมชน
             5.  ให้คนชนบทสามารถมีชีวิตอยู่ในชนบทได้

                 นี่คือประเด็นหลักของการจัดการเรียนการสอนในโรงเรียน



                           "ด้านหลังผู้อำนวยการคือหัวสะพานมังกรท่าขนถ่ายอวิชา"


                  ผมเดินข้ามสะพานมังกรมาจากฝั่งที่มีดวงไฟสว่างไสวด้วยพลังโซล่าเซลล์ ซึ่งประดุจพลังแห่งการ
เรียนรู้ มันได้ส่องประกายกระจ่างใจมล ตลอดวันของวันนี้ผมได้เรียนรู้อะไรมากมาย
แต่ที่หัวสะพานฝั่งตะวันตกดูมันมืดมิดไร้แสงไฟ เท้าของผมก้าวพ้นแสงสว่างที่ส่องทางอยู่ด้านหลังมาได้ไม่นานก็เข้าสู่ความมืดของย่ำค่ำ  ผมต้องปั่นเจ้าสองล้อกลับบ้านอย่างระมัดระวัง เสมือนหนึ่งชีวิตที่ดำเนินในความมืดแห่งปัญญาเป็นอันตรายยิ่งนัก

                  พรุ่งนี้เช้าเสียงดังกรอกแกรกจะสะกิดเตือนซ้ำอีกครั้ง



                

วันอังคารที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2558

ความเป็นอื่น (Marginal People)



                ดอกชมพู่ห้อยระย้าลงมาจากก้านกิ่ง มองเห็นริ้วกลีบดอกสีขาวทิ้งตัวลงเป็นพู่ ดูราวกับโคมไฟฟ้าที่แขวนฝ้าเพดานประดับห้องหรูในคฤหาสน์อันโอ่อ่า ปฏิทินผลัดใบเปลี่ยน พ.ศ. ใหม่ไปไม่นาน ดอกผลสีชมพูเรื่อแดงผุดเป็นพวง ผิวของมันเคลือบมันวาววับ เนื้อในกรอบหวานอร่อย แต่กระนั้นเนื้อในบางผลยังมีตำหนิจากมวลแมลงที่ทิ้งไข่ไว้เป็นหนอนชอนไช...สุดท้ายร่วงหล่นลงเกลื่อนลานดิน การจบสิ้นของมันคือ ความตายที่กอดก่ายกับการเกิดของพันธุ์พฤกษ์ที่เป็นอื่น ดอกมะม่วงเริ่มแตกช่อชูสลอน ราวกับมีใครไปบรรจงแต่งให้การเกิดของมันมาทดแทนสิ่งที่ขาดหาย


                                    "วันแรกที่ปั่นรถจักรยานไปทำงานที่โรงเรียนมีชัยพัฒนา"

                ผมเปลี่ยนที่ทำงานไปที่โรงเรียนมีชัยพัฒนา อำเภอลำปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์ วันนี้เป็นวันที่ผมเข้าไปสังเกตสถานที่และผู้คนในสถานที่ทำงานใหม่ คุณบุญเชิด โพธิ์หมื่นทิพย์ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาชนบท 6 สมาคมพัฒนาประชากรและชุมชนอยู่ระหว่างการจัดประชุมเจ้าหน้าที่ศูนย์ ฯ ทั่วภาคอีสาน ส่วนครูรอการกลับมารายงานตัวเข้าหอพักของนักเรียนหลังการเปิดเรียนภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2557
                “เค้ามาอยู่ที่นี่...เป็นผู้ใหญ่ขึ้น รับผิดชอบอะไรบางอย่างเองได้ อยู่กับพ่อแม่ก็เล่นเป็นเด็ก ๆ อยู่ที่นี่ต้องช่วยตัวเอง ดีค่ะ...แรก ๆ ก็คิดถึง แต่นานไปก็พออยู่ได้” ผู้ปกครองนักเรียนจากอำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา พูดถึงลูกสาวสองคนที่ไปเรียนที่นั่น คนโตเรียนชั้น ม. 4 ส่วนคนเล็กเรียนชั้น ม. 1
                “ยังมีคนเล็กอีกคนตอนนี้อยู่ป.6 ก็เตรียม ๆ ไว้อยู่ อยากให้มาอยู่กับพี่” ผู้ปกครองคนเดิมกล่าว
                ต่อคำถามที่ว่าปิดภาคเรียน 12 วันไปทำอะไร
                “ก็ทำการบ้าน เล่นกับพี่น้อง ช่วยพ่อแม่ทำงาน” นพณัฐ สนเท่ห์ นักเรียนชั้น ม. 4 ผู้พี่ตอบ ส่วน   ชนเนษฏ์ สนเท่ห์ นักเรียนชั้น ม. 1 ผู้น้องให้คำตอบไม่แตกต่างกัน
                “ช่วยน้าทำงาน ช่วยตายายทำขนมขายที่ตลาด ทำการบ้าน”
                “โชคดีหลายที่ลูกได้มาอยู่ที่นี่” ผู้ปกครองนักเรียนอีกคนจากจังหวัดอุบลราชธานี เพิ่งเดินทางมาถึงกล่าว

 

                                        "ผู้ปกครองนักเรียนนำนักเรียนมารายงานตัวเข้าหอพัก"

                ไม่ไกลออกไปครูพงศกร จะโรจน์รัมย์ ครูอาวุโสที่สุดในโรงเรียนได้ให้การต้อนรับและอธิบายถึงชีวิตงานของครูและนักเรียนในโรงเรียน
                ไม่เพียงแค่นั้นในวันนี้ ยังได้ทราบถึงกิจกรรมของโรงเรียนที่ได้ทำร่วมกับกลุ่มเยาวชนในพื้นที่ในนามเครือข่ายองค์การบริหารหมู่บ้าน (อบม.) เยาวชนตำบลโคกกลางอีกด้วย
                ตามผนังอาคารเรียนมีการตกแต่งด้วยกระดานบอร์ดประกาศแจ้งข้อมูลข่าวสารและสิ่งที่น่าสนใจ เช่น กระดานบอร์ดของอาคารหนึ่งประชาสัมพันธ์ข่าวการเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยของนักเรียนชั้น ม. 6 รุ่นแรก
                ผมเลยไปพบกลุ่มเพื่อนครูอีกกลุ่มที่ทำงานธุรการ ครูที่อยู่ในห้องนั้นมีภูมิลำเนาอยู่ต่างจังหวัดและต่างภาคทั้งสิ้น เช่น ปทุมธานี น่านและภาคใต้ เป็นต้น การไปโรงเรียนของผมในวันนี้...เป็นการเข้าไปเพื่อทำความรู้จัก ทำความคุ้นเคยกับผู้คน สถานที่และสิ่งแวดล้อมเป็นจุดประสงค์หลัก

                       
               
                "กระดานบอร์ดประชาสัมพันธ์ผลงานนักเรียนที่สามารถไปเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย"

                 การเต็ดเตร่ของผมในวันนี้ จึงเหมือนมดที่ไต่อยู่บนหลังช้าง ประสบการณ์ของผู้คนและงานในโรงเรียนเป็นเหมือนดั่งคชสาร มดตัวน้อยต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะเรียนรู้ได้หมด
                บริเวณรอบ ๆ อาคารรียนนั้น ทุกตารางนิ้วของพื้นที่ได้รับการพัฒนาให้เป็นแหล่งเรียนรู้ที่มีความหมาย แม้กรวดทรายที่โรยบนถนนก็มีความหมายว่า ความลับไม่มีในโลก เมื่อเท้าของใครที่ย่ำไปบนถนนอันขรุขระนั้น ย่อมเกิดเสียงดังกรอกแกรก แม้ไม่มีใครได้ยินแต่คนผู้นั้นย่อมได้ยินเสียงฝีเท้าตนเอง
                การเรียนรู้ของผมในวันนี้จบลงแบบเข้าใจคร่าว ๆ จบเพื่อการเรียนรู้ใหม่ในวันพรุ่ง ผมปั่นรถกลับที่พักในเวลาที่แสงแดดเอียงลงต่ำมากแล้ว
                กลับเพื่อไปที่เคหะสถาน ในที่ที่มีไม้ดอกผลสีชมพูเรื่อแดงผุดเป็นพวง ผิวของมันเคลือบมันวาววับ เนื้อในกรอบหวานอร่อย แต่กระนั้นเนื้อในบางผลยังมีตำหนิจากมวลแมลงที่ทิ้งไข่ไว้เป็นหนอนชอนไช...สุดท้ายร่วงหล่นลงเกลื่อนลานดิน
                การจบสิ้นของมันคือ ความตายที่กอดก่ายกับการเกิดของพันธุ์พฤกษ์ที่เป็นอื่น ดอกมะม่วงเริ่มแตกช่อชูสลอน ราวกับมีใครไปบรรจงแต่งให้การเกิดของมันมาทดแทนสิ่งที่ขาดหาย การทดแทนสิ่งที่ขาดหายไปในเส้นทางชีวิตของคนเรา จะสั้นหรือยาวในความหมายของมันมีค่าเท่ากัน ทั้งเกิดและตาย เพียงแต่ว่าระหว่างช่องว่างที่การเกิดและตายอยู่ห่างกัน เราจะทำให้มันมีความหมายต่อการยังชีวิตอยู่ของเราอย่างไรในห้วงเวลาดังกล่าว

               เพราะมันก็เพียงแค่ผลของความเป็นอื่น

วันจันทร์ที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2558

การศึกษาแบบตั๋วเที่ยวเดียว (One Way Ticket Education)




                รถไฟฟ้า BTS บ่ายหน้าฝ่าความมืดผ่านอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิไปทางด้านทิศเหนือของกรุงเทพมหานคร เมื่อมองไปยังด้านล่างกลุ่มแสงไฟสีแดงท้ายรถยนต์ที่วิ่งอัดแน่นกันบนถนนรอบอนุสาวรีย์เคลื่อนตัวไปอย่างเนิบนาบ ดูราวกับสายธารลาวาสีแดงฉานไหลลงจากปล่องภูเขาไฟแล้วปูลาดเป็นทาง ทอดยาวออกไปบนพื้นราบเบื้องล่าง ไกลออกไปสุดปลายทาง ถนนเรียวเล็กลงจนมองเห็นเป็นจุดอยู่ลิบลิบ

              เมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมานี้ ผมเดินทางมาจากจุดเริ่มต้นของการเดินทางด้วยรถฟ้า BTS ที่สถานีนานา สุขุมวิทซอย 11 เยื้องสถานีรถไฟฟ้าไปทางฝั่งตรงกันข้าม เป็นสุขุมวิทซอย 12 ที่นั่นเป็นสถานที่ตั้งสมาคมพัฒนาประชากรและชุมชนหรือมูลนิธิมีชัย วีระไวทยะ เรามีนัดกันที่ Cabbages & Condoms Restaurant, Thailand ซึ่งเป็นร้านอาหารและเครื่องดื่มที่ตั้งอยู่ในบริเวณนั้น
              เราในที่นี้คือ ผมและคุณมีชัย วีระไวทยะ
           “การศึกษาสอนคนให้ออกจากหมู่บ้านหรือไม่ก็ เมื่อจบมาแล้วก็ว่างงาน” คุณมีชัย กล่าวถึงปรากฏการณ์ของการจัดการศึกษาในระบบของประเทศไทย
                “โรงเรียนจึงจัดให้มีการสอนนักเรียนให้มีความรู้เชิงธุรกิจ และเป็นธุรกิจเพื่อสังคมด้วย” คุณมีชัย นำเสนอทางออกของปัญหา เหมือนเป็นการสรุปสั้น ๆ ไปในตัว ตามข้อจำกัดของเวลาที่มีระหว่างการสนทนา

                โรงเรียนตามที่คุณมีชัย วีระไวทยะอ้างถึงคือ โรงเรียนมีชัยพัฒนา



"บริเวณประตูทางเข้าโรงเรียนมีชัยพัฒนา.

                โรงเรียนมีชัยพัฒนา ตั้งอยู่ที่อำเภอลำปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์ เป็นโรงเรียนสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-6 อาคารเรียนทั้งหมดสร้างจากไม้ไผ่ที่มีรูปแบบอาคารเน้นความเป็นธรรมชาติ สร้างบรรยากาศและสิ่งแวดล้อมที่เหมาะกับการเรียนรู้ผ่อนคลาย โรงเรียนเปิดการเรียนการสอน เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2552 เป้าหมายสูงสุดของโรงเรียนคือ เป็นแหล่งเรียนรู้ตลอดชีวิตและเป็นศูนย์กลางในด้านการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของคนในชุมชน มุ่งสร้างคนรุ่นใหม่ให้เป็นคนดี มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์และมีจิตสาธารณะ รู้จักแบ่งปัน ปัจจุบันโรงเรียนได้ร่วมกับสถาบันอาศรมศิลป์ในหลักสูตรเตรียมบัณฑิตของหลักสูตรศิลปะศาสตร์บัณฑิต สาขาวิชาประกอบการสังคมที่มีจุดมุ่งหมายในการสร้างนักกิจการเพื่อสังคมให้แก่สังคมไทย
                เมื่อต้นเดือนกันยายน 2557 โครงการความร่วมมือระหว่างประเทศฟินแลนด์กับประเทศไทยเพื่อการปฏิรูปการศึกษาและการพัฒนาโรงเรียนในโครงการ “Project for Change” ได้ดำเนินการจัดเวทีสัมมนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเรื่องปัญหาและทางออกของการศึกษาไทย เส้นทางสู่การปฏิรูปการศึกษาไทย ร่วมกับนักการศึกษา ภาครัฐและภาคเอกชนในประเทศไทย โดยได้เชิญผู้เชี่ยวชาญทางการศึกษาจากประเทศฟินแลนด์ อาทิ ศาสตราจารย์เอโร โรโป (Prof.Eero Ropo) มาให้ความรู้และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ เกี่ยวกับการจัดระบบการศึกษาในประเทศฟินแลนด์ ที่ได้รับการยอมรับว่ามีมาตรฐานอยู่ในระดับที่ดีที่สุดของโลก ซึ่งได้รับความสนใจจากผู้เข้าร่วมประชุมเป็นอย่างมาก



                                                      "นักเรียนนำชมแปลงเกษตรแผนใหม่"

                ในการสัมมนาครั้งนี้ มีการนำเสนอกรณีศึกษา “โรงเรียนมีชัยพัฒนา” หรือ “โรงเรียนไม้ไผ่” ซึ่งเป็นโรงเรียนทางเลือกที่สมาคมพัฒนาประชากรและชุมชนและคุณมีชัย วีรไวทยะได้ร่วมกันจัดตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2552 ปรากฏว่า ศาสตราจารย์เอโร โรโป ได้ให้ความสนใจในแนวทางการจัดการศึกษาของโรงเรียนมีชัยพัฒนา เป็นอย่างมาก โดยภายหลังการสัมมนาได้เขียนอีเมล์มาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับโรงเรียนว่า เป็นตัวอย่างที่ยอดเยี่ยมด้านการปฏิรูปการศึกษา มีเป้าหมายทางการศึกษาที่เหมาะสมกับการสร้างคุณลักษณะที่พึงประสงค์ให้กับเด็กนักเรียนไทยและสังคมไทยในอนาคต ซึ่งสอดคล้องกับบริบทของสังคมโลกในปัจจุบัน กล่าวคือ มีเป้าหมายที่ว่าด้วยเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อมรอบตัว (ธรรมชาติ ประวัติศาสตร์ สังคมและวัฒนธรรม) รวมทั้งมีเป้าหมายในการปลูกฝังความเป็นพลเมืองที่ดีของประเทศให้กับเด็กนักเรียนด้วย ศาสตราจารย์เอโร โรโปรู้สึกประทับใจในกระบวนการเรียนการสอนที่ทำให้นักเรียนได้เรียนรู้วิธีการดำรงชีวิตที่ช่วยปกป้องและอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างสงบสุข เข้าใจประวัติศาสตร์ ความเป็นมาและเห็นคุณค่าทาง วัฒนธรรม รวมทั้งได้ฝึกการทำธุรกิจ โดยสอนให้นักเรียนเข้าใจในแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของตลาดโลกในยุคแห่งการแข่งขันแบบเสรีที่มีความพึงพอใจของลูกค้าเป็นหลักประกันความสำเร็จ แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องคำนึงถึงคุณค่าการดำเนินธุรกิจบนหลักความเสมอภาค ยุติธรรม เคารพธรรมชาติและไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมด้วย


                                            "โครงการอบรมภาษาอังกฤษหลักสูตรสายฟ้าแล็บ"

                การจัดการศึกษาทางเลือกของ “โรงเรียนมีชัยพัฒนา” จึงเป็นรูปธรรมการปฏิรูปการศึกษาที่น่าสนใจสำหรับคนไทยที่มีความสนใจในเรื่องการพัฒนาการศึกษาให้กับเด็กนักเรียนไทยในชนบท เพื่อไปสู่จุดมุ่งหมายที่ว่า “เรียนรู้เพื่อเปลี่ยนแปลงตนเองและสังคม”
                คุณมีชัย วีระไวทยะกล่าวว่า “ผมเชื่อว่า ความสำเร็จเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ด้วยการทำงานร่วมกับเพื่อนมนุษย์ ไม่ใช่โดยลำพัง แต่ละคนล้วนมีบทบาทที่มีความหมายสำคัญยิ่ง สมาคมฯ ได้ให้ความสำคัญกับความเสมอภาค ไม่แบ่งชนชั้น ไม่มีอคติ ความลำเอียงใด ๆ ในเรื่องเพศ และปัจจัยอื่น ๆ ของเพื่อนมนุษย์ ผมยังนึกไม่ออกว่า หากผมไปทำงานอื่น ๆ อยู่ที่ใดแล้ว จะทำให้ผมมีความสุขเท่ากับการได้ทำงานนี้ อยู่ที่นี่ สมาคมพัฒนาประชากรและชุมชน”
                ผมมองออกไปจากรถไฟฟ้า BTS ไปยังด้านล่างกลุ่มแสงไฟสีแดงท้ายรถยนต์ที่วิ่งอัดแน่นไปบนถนนรอบอนุสาวรีย์เคลื่อนตัวไปอย่างเนิบนาบ ดูราวกับสายธารลาวาสีแดงฉานไหลลงจากปล่องภูเขาไฟแล้วปูลาดเป็นทาง ทอดยาวออกไปบนพื้นราบเบื้องล่าง ไกลออกไปสุดปลายทาง ถนนเรียวเล็กลงจนมองเห็นเป็นจุดอยู่ลิบลิบ
เหมือนโอกาสทางการศึกษาแม้เปิดกว้างมากขึ้น แต่จุดหมายปลายทางเล็กเรียวและไม่มีโอกาสที่คนจะหวนคืนถิ่น ดั่งลาวาที่ไหลย้อนไปยังต้นกำเนิดของตนเองไม่ได้
การศึกษาแบบนี้จึงเป็นการศึกษาแบบตั๋วเที่ยวเดียว  



วันศุกร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2558

บุคคลแห่งปี 2014 (2014 Person of the Year) นักรบอีโบล่า (The Ebola Fighters): คนผู้ขานรับเสียงเพรียกหา (ตอนจบ)



                                                                                                             David Von Drehle   รายงาน
                                                                                                  สุริยา เผือกพันธ์ แปลและเรียบเรียง

                “ที่ชานเมืองมอนโรเวีย เมืองหลวงของไลบีเรีย ผืนหญ้าสีเขียวอยู่ท่ามกลางปาล์มและพืชเขตร้อน เป็นสถานที่ก่อเกิดเรื่องราวของกลุ่มคนในบ้านสีเหลืองสดใสแจมด้วยสีน้ำเงินอย่างประณีต นี่คือหน่วยปฏิบัติการ The campus of Eternal Love Winning Africa ที่ที่ไม่มีเชื้อชาติศาสนา” และนี่เป็นหนึ่งในบุคคลแห่งปี 2014



ดร.ทอม ฟรีเดน (Dr.Tom Frieden) วัย 54 ปีผู้อำนวยการของ CDC แห่งแอตแลนต้า

                เมื่ออีโบล่าโจมตีอัฟริกาตะวันตกในครั้งแรก พวกเรารู้สึกเป็นห่วงอย่างสุดซึ้ง ในเดือนมีนาคม ผมบอกเรื่องนี้กับทีมงาน “มีอีโบล่าเกิดขึ้นครั้งแรกในอัฟริกาตะวันตก เราต้องการทีมงานเพื่อไปหยุดมันเดี๋ยวนี้” เราส่งทีมงานไปเป็นจำนวนมาก แต่อีโบล่ามันมีที่อยู่เฉพาะ เพราะว่ามันต้องการการเอาใจใส่อย่างมากในรายละเอียด มันคือความตาย มันคือสิ่งที่น่าสะพรึงกลัว
                ดังนั้น ทำอย่างไร เราจึงส่งกี (Gee) โดยบินตรงไปให้เร็วที่สุด ทำวีซ่าทันที จะไปกันกี่คน จุดต่ำสุดคือ ชีวิตปลอดภัย
                เมื่อเกิดเรื่องครั้งแรก เราส่งทีมงานไปด้วยความรู้สึกว่าจะควบคุมมันได้ แต่มีความไม่ลงรอยกับองค์กร WHO ซึ่งผมเป็นส่วนหนึ่งในองค์กรนั้น ที่สำคัญที่สุด พวกเขาคิดว่าสามารถควบคุมมันได้ลไม่ต้องการพวกเรา ดังนั้นผมจึงบอกกับ WHO “ขอให้พวกเราเข้าไปเถอะ นี่มันคือ เรื่องน่าขัน”  พวกเขาต้องการทำงานด้วยตนเอง มันเป็นความขมขื่น พวกเขาไม่ต้องการมีความรู้สึกเหมือนกับว่าขึ้นอยู่กับองค์กร CDC  WHO ไม่ต้องการพวกเราไปอยู่ที่นั่น ดังนั้น พวกเราจุงต้องจากไป และต่อมาอีโบล่าได้กลับมาใหม่
                ในความเป็นจริง WHO มีผู้เชี่ยวชาญด้านอีโบล่าที่เยี่ยมมาก แต่ผมคิดว่า WHO มีองค์กรที่ที่แตกต่างกันอยู่ 3 องค์กร คือ องค์กรมีสำนักงานอยู่ที่เจนีว่า ที่ภูมิภาคและระดับประเทศ ที่เจนีว่าดีมาก แต่ที่ภูมิภาคและประเทศติดต่อยากและมีปัญหามาก ดังนั้น เราจึงมีความท้าทาย แต่เหมือนเป็นสายน้ำใต้สะพาน WHO รู้ในสิ่งที่เขาไม่ได้ทำในสิ่งที่ควรทำ และพวกเราต้องการไปช่วยเขาคิดเกี่ยวกับว่า เราจะขับเคลื่อนภารกิจไปข้างหน้าอย่างไร
                ในต้นเดือนสิงหาคม เมื่อผมกระตุ้นไปที่ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉิน (Emergency Operations Center) ในแอตแลนต้า เป็นที่ชัดแจ้งว่าเราได้ทำตรงเวลากับที่อีโบล่าระบาด มันเป็นไวรัสตัวเก่า แต่อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่แตกต่างกัน มันทำงานแตกต่างกันมากและยากมากในการควบคุม อย่างไรก็ตามมันเหมือนกับว่าเราได้ทิ้งตัวไปที่มัน เพียงแต่ควบคุมการเติบโต เราได้ส่งทีมงานมากเท่ามากเข้าไปทำงานมากขึ้นเรื่อย ๆ ในที่นั้น ในห้องทดลอง โดยทำงานร่วมกับ MSF ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม มันก็ยังมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้น มันอดที่จะคับข้องใจไม่ได้
                เพราะว่าปกติแล้ว ผมเป็นคนที่ขาดความอดทนโดยธรรมชาติ ผมรู้สึกว่าต้องไป ดังนั้น ผมจึงไปถึงที่นั่นในปลายเดือนสิงหาคม สถานการณ์มันน่ากลัว ผมเคยมีประสบการณ์ในการดูแลสุขภาพมา 25 ปี ทำงานในแหล่งเสื่อมโทรมที่อินเดีย เดินทางไปทำงานโรคเอดส์ในที่ต่าง ๆ ของอัฟริกา แต่ไม่เคยเห็นอะไรแบบที่ผมเห็นที่นั่น
                เราไม่สามารถรับประกันได้ว่ามันจะไม่เกิดในสหรัฐอเมริกา เราไม่สามารถรับประกันได้ว่า จะไม่มีโรงพยาบาลที่ขาดหมอวินิจฉัยและรักษาโรคคนที่ได้รับเชื้อ แต่เราสามารถรับประกันได้ว่า เราจะทำทุกอย่างด้วยหน้าที่ของเราในการปกป้องอเมริกา มันเป็นงานสำคัญสูงสุดของพวกเรา ความจริงคือ เราไม่สามารถจะทำให้มันหมดไปได้จนกว่า เราจะหยุดการแพร่กระจายในอัฟริกาตะวันตกได้ มันเป็นการต่อสู้ที่ยาวนานด้วยความยากลำบาก


ซาโลม การ์วาห์ (Salome Karwah) วัย 26 ปี ผู้ช่วยพยาบาลในคลินิก MSF มอนโนเวีย

                เมื่อฉันป่วย ฉันได้ป้อนนมลูกวัย 10 เดือน พี่ชายของฉันนำเลือดของลูกไปตรวจ เลือดเธอเป็นลบ (ต่อมาคู่หมั้นของฉันป่วย) เขาลูกสาวของฉันไปที่ ETU และฉันไปเยี่ยมทุก ๆ สองวัน ลูกสาวลุกขึ้นยืนข้ามรั้วและฉันจะร้องเพลงให้เธอฟัง ฉันร้องเพลงกล่อมเธอในวันที่เธอเกิด ฉันร้องกล่อมนอน มันเหมือนกับที่ฉันร้องอยู่นี้ “นอนเถอะหน่า หลับตามแม่จะกล่อม” เธอจะหัวเราะ เล่นและต่อจากนี้ไปพวกเขาจะนำเธอกลับบ้าน



โฟเดย์ แกลลาห์ (Foday Gallah)  วัย 37 ปี ที่ปรึกษารถพยาบาลฉุกเฉิน (Ambulance Supervisor) ใน
มอนโรเวีย

                ฉันจะกลับไปทำปีกให้ครบ ไม่กลัว จะเดินหน้าต่อสู้กับอีโบล่าด้วยพลังของฉันทั้งหมด คนจำนวนมากต้องตาย แต่ฉันจะรักษาและทำงานเพื่อพระเจ้า ฉันสร้างภูมิคุ้มกันแล้วมันเป็นเหมือนของขวัญ

                ฉันจะนำรถฉุกเฉิน ไปทุกซอกทุกมุมของเมืองหลวง แม้จะเป็นผู้ป่วยอีโบล่าก็จะรับไปที่หน่วยรักษา และอวยพรให้เขามีความหวัง ให้กำลังใจ และพยายามศึกษาคนที่ติดเชื้ออีโบล่า 

วันพุธที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2558

ตู้ไปรษณีย์ (Post box) การหลบลี้ของนกพิราบและควันไฟยังไม่สิ้นกลิ่นจาง



                การปรากฏตัวของตู้ไปรษณีย์ (Post box) ทำให้นกพิราบและควันไฟต้องหลบลี้หนีหาย ขณะเดียวกับที่อุตสาหกรรมสิ่งพิมพ์ได้โตวันโตคืน กระดาษและน้ำหมึกจึงเป็นเหยื่ออันโอชะของระบบการสื่อสารในยุคจักรกล แต่เพียงชั่วระยะที่นกพิราบและควันไฟยังไม่สิ้นกลิ่นจาง ตู้ไปรษณีย์กลับต้องมาล้มป่วยไปทีละรายสองราย จนโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงาไปทั่วทุกมุมโลก.....

ตู้ไปรษณีย์ (Post box ภาษาอังกฤษเขียนแบบของ British English และที่อื่น ๆ ก็เขียนแบบเดียวกันคือ postbox แต่ที่รู้จักกันดีในสหรัฐอเมริกาและแคนาดาคือ collection box, mailbox, post box, letter box หรือ drop box) คือ วัตถุที่มีรูปร่างเป็นกล่องซึ่งสาธารณชนสามารถฝากจดหมายส่งไปยังที่ต่าง ๆ ได้เก็บรวบรวมโดยหน่วยงานที่ทำหน้าที่ให้บริการส่งไปรษณีย์ (postal service) ของประเทศ คำว่า ตู้ไปรษณีย์นี้หมายถึงกล่องไปรษณีย์ส่วนบุคคลที่เรียกว่า letter box ที่ไว้รับจดหมายด้วย
ตู้ไปรษณีย์กำเนิดขึ้นในยุโรปเป็นครั้งแรกในปี 1653 โดยเชื่อกันว่าติดตั้งในปารีส (Paris) และบริเวณรอบ ๆ โดยในปี 1829 ได้มีการใช้แพร่หลายทั่วฝรั่งเศส ตู้ไปรษณีย์สาธารณะเกิดขึ้นครั้งแรกในโปแลนด์โดยติดตั้งที่กรุงวอร์ซอว์ (Warsaw) ในปี 1842
โดยตู้แรกติดตั้งที่ผนังกำแพง ณ ที่ทำการไปรษณีย์ Wakefield Post Office ในปี 1809 และเชื่อว่า ที่เก่าที่สุดมีให้ดูที่ประเทศอังกฤษ ปัจจุบันได้นำไปแสดงไว้ที่พิพิธภัณฑ์ Wakefield Museam
ส่วนตู้ไปรษณีย์สาธารณะตู้แรกในรัสเซีย ติดตั้งเมื่อปี 1848 ในเมือง St. Petersberg ทำด้วยไม้และเหล็ก เพราะว่าตู้เหล่านี้มีน้ำหนักเบาและถูกขโมยง่าย จึงหายบ่อยมาก ตู้ไปรณีย์จึงทำด้วยเหล็กหล่อ (cast iron) ที่แข็งแรงน้ำหนักมากกว่า 45 กิโลกรัม
ในเอเชีย ตู้ไปรษณีย์ไปถึงครั้งแรกในปลายศตวรรษที่ 19 ในฮ่องกง (Hong Kong) ทำด้วยไม้ ในปี 1890 ตู้ไปรษณีย์แบบหลักเสา (Pillar box) ปรากฏขึ้นในฮ่องกงและรักษาไว้ใช้จนกระทั่งปลายปี 1990 จากปี 1890 – 1997 ตู้ไปรษณีย์ทาด้วยสีแดง แต่หลังปี 1997 ทาด้วยสีเขียว


                                       "ตู้ไปรษณีย์แบบเสาหลัก (Pillar box)"

และที่อเมริกาเหนือ (North America) ที่ทำการไปรษณีย์สหรัฐอเมริกา (The United States Post Office Department) เริ่มติดตั้งและรวบรวมจดหมายส่งเป็นบริการสาธารณะในปี 1850 มีอยู่นอกสำนักงานและตามมุมถนน ในเมืองใหญ่ ๆ ทางตะวันออก ตู้ไปรษณีย์รับจดหมายอันแรกออกแบบให้ใช้แขวนหรือช่วยส่งเสริมตู้ท่ตั้งอยู่ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ตู้ไปรษณีย์แบบหลักเสา (pillar boxs)  แบบเสาไฟฟ้า (lamp-posts) แบบส่งโทรเลข (telegraph poles) หรือ แม้แต่ที่ติดอยู่ข้างอาคาร ในปี 1880 ตู้ไปรษณีย์แบบหลักเสาเหล่านี้ทำด้วยเหล็กที่มีน้ำหนักมากเพื่อป้องกันการขโมยหรือการทำลายทรัพย์สินของรัฐ (vandalism) เมื่อจำนวนจดหมายมีมากขึ้นเรื่อย ๆ ที่ทำการไปรษณีย์ (Post Office Department) จึงค่อย ๆ เข้ามาแทนที่ตู้ไปรษณีย์แบบหลักเสาจนเต็มพื้นที่ในราวปลายปี 1960
ไปรษณีย์ในประเทศไทยมีประวัติย้อนหลังไปตั้งแต่สมัยสุโขทัย เป็นเส้นทางจดหมายจากสวรรคโลกผ่านสุโขทัยไปยังกำแพงเพชรใช้สำหรับการปกครอง ในปี พ.ศ. 2423 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  ได้ดำริให้มีการจัดตั้ง กรมไปรษณีย์ขึ้นเพื่อเปิดบริการไปรษณีย์ เปิดรับฝาก ส่งจดหมายหรือหนังสือ เป็นการทดลองในเขตพระนครและธนบุรีขึ้นเมื่อ วันที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2426  มีที่ทำการไปรษณีย์สำหรับจังหวัดพระนคร ด้วยเรียกกันว่า "ไปรษณียาคาร"
ต่อมาในปี พ.ศ. 2441 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเห็น เป็นสมควรจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้ง "กรมไปรษณีย์โทรเลข" ขึ้นซึ่งต่อมาเรียกกันโดยทั่วไปว่า "ที่ทำการไปรษณีย์กลาง" อยู่ที่กรุงเทพมหานคร เป็นบริการสาธารณะ
  
                                            "การส่งจดหมายในสมัยรัชกาลที่ 5" 

ในปี พ.ศ. 2520 ได้มีการจัดตั้ง การสื่อสารแห่งประเทศไทย (กสท.) ขึ้นโดยรับมอบกิจการด้านปฏิบัติการทั้งหมด รวมถึงการให้บริการไปรษณีย์จากกรมไปรษณีย์โทรเลขมาดำเนินการ โดยมีสถานะเป็นรัฐวิสาหกิจ ต่อมาสำนักงานใหญ่ย้ายมาอยู่ที่ถนนแจ้งวัฒนะ ซึ่ง กสท. ได้ปรับปรุงและพัฒนาบริการให้เจริญก้าวหน้ามาโดยตลอด จนเป็นรัฐวิสาหกิจชั้นนำที่ยิ่งใหญ่ มีศักยภาพเครือข่าย ระบบ และคุณภาพบริการระดับมาตรฐานสากล
จากนโยบายรัฐบาลที่ต้องการแปรสภาพรัฐวิสาหกิจ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้เทียบเท่าภาคเอกชน ซึ่ง กสท. เป็นหนึ่งในรัฐวิสาหกิจที่ต้องดำเนินการตามนโยบายดังกล่าว ปี พ.ศ.  2546คณะรัฐมนตรีมีมติให้แปรสภาพ กสท. แยกกิจการเป็น 2 บริษัท คือ บริษัทไปรษณีย์ไทย จำกัด และบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน)

                  
      "ที่ทำการไปรษณีย์กลางกรุงเทพมหานคร"

บริษัทไปรษณีย์ไทย จำกัด (ปณท.) ยังคงสถานะเป็นรัฐวิสาหกิจ สังกัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ตั้งอยู่ที่ อาคารสำนักงานใหญ่ ปณท. ถนนแจ้งวัฒนะ โดยปฏิรูปภาพลักษณ์ใหม่ ปรับปรุงบริการและการให้บริการไปรษณีย์แก่ประชาชนทั่วไปและพัฒนาการให้บริการเชิงธุรกิจ เพื่อให้ ปณท. ก้าวไกล ทันสมัย ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตและเอื้อประโยชน์ต่อเศรษฐกิจของประเทศไทยอย่างต่อเนื่องตลอดไป
แต่เพียงชั่วระยะที่นกพิราบและควันไฟหลบลี้ไปยังไม่สิ้นกลิ่นจาง ตู้ไปรษณีย์กลับต้องมาล้มป่วยไปทีละรายสองราย จนโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงาไปทั่วทุกมุมโลก เมื่อเทคโนโลยีได้นำนวัตกรรมการสื่อสารเข้าสู่ยุคดิจิตัล (Digital age) อินเตอร์เน็ตได้ทำให้การสื่อสารในรูปแบบสิ่งพิมพ์ต้องหนาวสั่น เมื่อข้อมูลข่าวสารได้ส่งผ่านอิเล็คทรอนิคเมล์อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องใช้บริการของไปรษณีย์อีกต่อไป
ตู้ไปรษณีย์ (Post box) จึงค่อย ๆ หายไปจากมุมถนนรนแคม และแม้ตู้รับจดหมาย (Letter box) ตามสำนักงานและบ้านเรือนก็โดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงา จะมีก็เพียงจดหมายจากบริษัทเงินกู้มาใช้บริการนาน ๆ ครั้ง