เช้าวันนี้เป็นเช้าวันเสาร์ที่ผมตื่นหกโมงเหมือนวันอื่น
ๆ แต่ที่แตกต่างคือ ความรู้สึกที่ดูอิสระสบาย ๆ กว่าวันทำงาน
เพราะไม่มีกิจกรรมที่จัดวางไว้อย่างเป็นระบบ
แม้จะเป็นวันที่ดูกรีดกรายได้แต่ผมก็ทำอะไร ๆ เหมือนทุก ๆ
วันหลังจากลุกจากที่นอนคือ ปัดกวาดเช็ดถูบ้านเรือนในบริเวณที่ใช้งานหรือผ่านไปมาบ่อย
ๆ รวมทั้งบริเวณลานบ้านที่ใบไม้ร่วงลงเต็มลานทุกวัน
จากนั้นก็มาเช็คไลน์ ตรวจดูเฟสบุ๊คพอให้รู้ความเคลื่อนไหวของเพื่อน
ๆ หรือผู้คนต่าง ๆ ในโลกเสมือนกดไลค์ให้เพื่อนพอได้รู้ว่าเราได้ทักทายเป็นการแสดงความคิดถึง
กิจกรรมประมาณนี้ก็เวลาล่วงเข้าสู่เจ็ดนาฬิกาแล้ว
ถ้าเป็นวันทำงานผมต้องเตรียมชำระร่างกาย ล้างหน้า แปรงฟันและแต่งตัวไปทำงาน
แต่วันนี้เป็นวันหยุดผมมีนัดกับการเก็บเกี่ยวข้าวในนา
หลังกาแฟมื้อเช้าและเสร็จกิจธุระประจำวันแล้ว ฝนเตรียมเจ้า
MERIDA สองล้อคู่ใจเตรียมตัวออกไปปั่น(Cycling) เป้าหมายคือนาข้าวระยะทาง 17
กิโลเมตร
แปดโมงเช้าโดยประมาณ ผมควบเจ้า MERIDA
มุ่งหน้าไปตามเส้นทางสายลำปลายมาศ – นางรอง
ซึ่งอยู่ห่างจากตัวจังหวัดบุรีรัมย์ประมาณ 32 กิโลเมตร แสงแดดวันนี้ดูอ่อนละมุน
ยังไม่แผดจ้าเกินไป เส้นทางที่ทอดยาวไปทางด้านทิศใต้เชื่อมถึงนางรองเช้านี้
ดูยังไม่หนาแน่น ไหล่ทางที่ผมใช้ปั่นสองล้อดูโล่ง ๆ จึงทำให้รู้สึกปลอดภัยมากขึ้น
แต่เพื่อความไม่ประมาทผมต้องชิดซ้ายให้มากเข้าไว้ตามความเคยชิน แดดอุ่นเช้านี้ผมใช้ระยะทางได้ถึงหกกิโลเมตรจึงรู้สึกว่ามีเหงื่อซึมแผ่นหลัง
ในระยะทางดังกล่าว สองข้างทางเริ่มมีผืนนาสีเหลืองทองสลับด้วยทิวไม้อยู่เขียวขจีลิบ
ๆ และทัศนียภาพสองข้างทางจากนี้ไปจะมีลักษณะอย่างนี้สลับกับป่าไม้และหมู่บ้านเป็นระยะ
ๆ จนผมทำระยะทางได้ประมาณ 14 กิโลเมตร จึงได้หักแฮนด์เจ้า MERIDA
แวะลงฝั่งขวาของถนนสีดำมุ่งสู่ถนนหินคลุกที่ลัดเลาะทิวป่ามุ่งสู่นาข้าวตามนัดหมาย
ยังเหลือระยะทางอีกประมาณ 3 กิโลเมตรก็จะถึงผืนนาเนื้อที่ 15 ไร่ที่ได้หว่านดำไว้เมื่อสามสี่เดือนที่ผ่านมา
สองข้างทางของถนนที่ขรุขระสายนี้เต็มไปด้วยทุ่งนานป่าข้าว บ้างเขียว
บ้างเหลืองสลับกันไปดูสวยงามและรื่นรมย์เป็นอย่างยิ่ง
มาถึงระยะทางไกลขนาดนี้เหงื่อผมไหลจนชุ่มตัว สองขาออกล้านิด ๆ แต่ก็ยังไหว
อาการอย่างนี้เป็นอาการปกติของการปั่นในระยะทางไกล ๆ และใช้เวลานาน แต่ก็โอเค
มันยังปั่นทำระยะทางได้ไกลกว่านี้อีกโขแต่นี่อีกแค่ 2 – 3 กิโลจิ๊บ
ๆ สบาย ๆ
รถเกี่ยวลงมือเกี่ยวและปั่นข้าวในนาก่อนผมไปถึง
มันคำรามเสียงดังกระหื่มทั่วผืนนา ฟันที่เป็นวงกลมของมันหมุนเป็นเกลียวเกี่ยวต้นข้าวอย่างเมามัน
ฟ่อนข้าวถูกลำเลียงเข้าเครื่องปั่น (Spinning) แล้วส่งข้าวมาตามท่อเป็นเมล็ดไหลลงถุงที่เปิดปากรองรับอยู่ด้านนอก
มันไหลออกมาอย่างต่อเนื่องจนเต็มถึงปากถุง จากนั้นคนงานก็จะขยับถุงข้าวออกเพื่อให้ถุงเปล่าได้เข้ามาแทนที่
เป็นเช่นนี้จนพื้นที่บนรถเกี่ยวแน่นไปด้วยถุงข้าว จึงยักย้ายถ่ายเทลงไปยังรถลำเลียงเพื่อนำไปเก็บยุ้งฉางอีกทอดหนึ่งต่อไป
การเก็บเกี่ยวข้าวโดยวิธีนี้
เป็นเทคโนโลยีในยุคจักรกล ที่ใช้แรงงานไม่มาก บนรถเก็บเกี่ยวมีเพียงพนักงานขับและคนงานช่วยกันจัดถุงข้าวอีกสองคนก็สามารถเก็บเกี่ยวข้าวได้ทั้งวันเป็นสิบ
ๆ ไร่ ต่างกับการเก็บเกี่ยวในยุคเกษตรกรรม กิจกรรมเช่นนี้ใช้แรงงานชาวนาหลายสิบคนกว่าจะเสร็จในแต่ละครั้ง
แถมยังต้องใช้เวลาเนิ่นนานอีกด้วย
การใช้เวลานานของชาวนาในยุคเกษตรกรรมไม่ทำให้มีปัญหาแต่อย่างใด เพราะการเก็บเกี่ยวในยุคดังกล่าวเก็บไว้เพื่อกิน
แต่การเก็บเกี่ยวในยุคจักรกลต้องทำเวลา (Speed)
ให้เร็ว เพราะเป้าหมายของข้าวทั้งมวลมุ่งสู่ยุ้งฉางของพ่อค้าวานิช
ชาวนารอเพียงเงินค่าข้าว (รวมทั้งปลดหนี้) เท่านั้น
การทำนาในยุคปัจจุบันจึงเป็นการทำไว้เพื่อขาย ไม่ได้ทำไว้เพื่อกินเหมือนเมื่อก่อน
"เครื่องเกี่ยวและปั่นข้าวที่ใช้คนงานเพียง 3 คน"
ผมดูการทำงานและฟังเสียงเครื่องเกี่ยวคำรามก้องจนถึงเที่ยงวัน
จึงได้รับประทานอาหารเที่ยงที่ปรุงอย่างง่าย ๆ ตามประสาคนทำนา ข้าวเหนียว ตำแตง
เพียงสองอย่างนี้ก็แซ่บเว่อ พุงกางและอิ่มได้ในมื้อนี้ คนงานในยุคทำนาเพื่อขายได้ค่าแรงเป็นรายวัน
ในอัตราวันละ 250 – 300 บาท กินอาหารธรรมดา ๆ แบบชาวบ้าน
แต่ที่เหมือนชาวเมืองคือ กาแฟ น้ำหวานสีดำและเหล้าเบียร์ ต่างจากชาวนาในยุคทำนาเพื่อกิน
แรงงานเป็นการไหว้วานที่เรียกว่า “ลงแขก” กินข้าวแบบชาวบ้าน น้ำดื่มสะอาดและน้ำเสริมแรงคือ
เหล้าสาโท เพียงแค่นี้ ไม่มีผลิตภัณฑ์แบบคนเมืองมาปะปนแต่อย่างใด
"คนงานเปลี่ยนจากมือกำเคียวมาเป็นบ่าแบกหาม"
บ่ายแก่ ๆ ผมลงไปชำระผิวกาย
พอให้เย็นสดชื่นและขับคราบเหงื่อไคล ในร่องน้ำที่ไหลผ่านแปลงนา น้ำไหลใสสะอาด
แต่ก็ไม่ค่อยอุ่นใจในเรื่องสารเคมีที่อาจมีปนเปื้อน
การทำนาในปัจจุบันมุ่งการเพิ่มผลผลิต ทุนจึงลงเพื่อปัจจัยในการเพิ่มผลผลิตไปมาก
ทั้งปุ๋ยและยาฆ่าแมลง แต่ก็โอเค ก็เป็นวันสบาย ๆ จึงไม่ควรกังวลมาก
แดดคล้อยลงต่ำจนเกือบถึงเส้นขอบฟ้า
ผมควบสองล้อปั่นกลับเส้นทางเดิม แต่ดูเหมือนมีความคล่องตัวมากขึ้น เพราะชำนาญทาง แต่ก็มิอาจทำความเร็วได้ทันก่อนที่ตะวันจะลับขอบฟ้า
จึงทำให้มืดระหว่างทาง จึงได้อาศัยไฟฉายติดบนแฮนด์ส่องพอคลำไหล่ทางมาถึงลำปลายมาศได้
"ร้านราดหน้ายอดผักหน้าสนามกีฬากลางลำปลายมาศ"
ผ่านย่านร้านอาหาร รู้สึกหิวจึงแวะกินราดหน้ายอดผักหน้าสนามกีฬากลางอำเภอ
รสชาดอร่อย ใครมีโอกาสควรแวะชิม ขายเฉพาะตอนกลางคืน
ในบริเวณนั้นยังมีอาหารให้เลือกสั่งทานได้ตามใจชอบ
ผมกลับเข้าบ้าน
เมื่อคิดสะสมระยะทางการปั่นในวันนี้ได้ประมาณ 34 กิโลเมตรครับ
แต่เมื่อคิดถึงเงินที่สะสมจากการขายข้าว ไม่มีความหมายหรอกครับ (อิอิ) เพราะ “เงินเป็นของมายาแต่ข้าวปลาสิของจริง”
วันสบาย ๆ สไตล์ด็อกเตอร์ยา
จึงเป็นกิจกรรมสบาย ๆ พอได้สุขใจเช่นนี้แหละครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น