วันเสาร์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ปั่นไปปั่น (Cycling to Spinning)


                  


                    เช้าวันนี้เป็นเช้าวันเสาร์ที่ผมตื่นหกโมงเหมือนวันอื่น ๆ แต่ที่แตกต่างคือ ความรู้สึกที่ดูอิสระสบาย ๆ กว่าวันทำงาน เพราะไม่มีกิจกรรมที่จัดวางไว้อย่างเป็นระบบ แม้จะเป็นวันที่ดูกรีดกรายได้แต่ผมก็ทำอะไร ๆ เหมือนทุก ๆ วันหลังจากลุกจากที่นอนคือ ปัดกวาดเช็ดถูบ้านเรือนในบริเวณที่ใช้งานหรือผ่านไปมาบ่อย ๆ รวมทั้งบริเวณลานบ้านที่ใบไม้ร่วงลงเต็มลานทุกวัน
                จากนั้นก็มาเช็คไลน์ ตรวจดูเฟสบุ๊คพอให้รู้ความเคลื่อนไหวของเพื่อน ๆ หรือผู้คนต่าง ๆ ในโลกเสมือนกดไลค์ให้เพื่อนพอได้รู้ว่าเราได้ทักทายเป็นการแสดงความคิดถึง กิจกรรมประมาณนี้ก็เวลาล่วงเข้าสู่เจ็ดนาฬิกาแล้ว ถ้าเป็นวันทำงานผมต้องเตรียมชำระร่างกาย ล้างหน้า แปรงฟันและแต่งตัวไปทำงาน แต่วันนี้เป็นวันหยุดผมมีนัดกับการเก็บเกี่ยวข้าวในนา
หลังกาแฟมื้อเช้าและเสร็จกิจธุระประจำวันแล้ว ฝนเตรียมเจ้า MERIDA  สองล้อคู่ใจเตรียมตัวออกไปปั่น(Cycling)  เป้าหมายคือนาข้าวระยะทาง 17 กิโลเมตร


                แปดโมงเช้าโดยประมาณ ผมควบเจ้า MERIDA มุ่งหน้าไปตามเส้นทางสายลำปลายมาศ – นางรอง ซึ่งอยู่ห่างจากตัวจังหวัดบุรีรัมย์ประมาณ 32 กิโลเมตร แสงแดดวันนี้ดูอ่อนละมุน ยังไม่แผดจ้าเกินไป เส้นทางที่ทอดยาวไปทางด้านทิศใต้เชื่อมถึงนางรองเช้านี้ ดูยังไม่หนาแน่น ไหล่ทางที่ผมใช้ปั่นสองล้อดูโล่ง ๆ จึงทำให้รู้สึกปลอดภัยมากขึ้น แต่เพื่อความไม่ประมาทผมต้องชิดซ้ายให้มากเข้าไว้ตามความเคยชิน แดดอุ่นเช้านี้ผมใช้ระยะทางได้ถึงหกกิโลเมตรจึงรู้สึกว่ามีเหงื่อซึมแผ่นหลัง ในระยะทางดังกล่าว สองข้างทางเริ่มมีผืนนาสีเหลืองทองสลับด้วยทิวไม้อยู่เขียวขจีลิบ ๆ และทัศนียภาพสองข้างทางจากนี้ไปจะมีลักษณะอย่างนี้สลับกับป่าไม้และหมู่บ้านเป็นระยะ ๆ จนผมทำระยะทางได้ประมาณ 14 กิโลเมตร จึงได้หักแฮนด์เจ้า MERIDA แวะลงฝั่งขวาของถนนสีดำมุ่งสู่ถนนหินคลุกที่ลัดเลาะทิวป่ามุ่งสู่นาข้าวตามนัดหมาย
                ยังเหลือระยะทางอีกประมาณ 3 กิโลเมตรก็จะถึงผืนนาเนื้อที่ 15 ไร่ที่ได้หว่านดำไว้เมื่อสามสี่เดือนที่ผ่านมา สองข้างทางของถนนที่ขรุขระสายนี้เต็มไปด้วยทุ่งนานป่าข้าว บ้างเขียว บ้างเหลืองสลับกันไปดูสวยงามและรื่นรมย์เป็นอย่างยิ่ง มาถึงระยะทางไกลขนาดนี้เหงื่อผมไหลจนชุ่มตัว สองขาออกล้านิด ๆ แต่ก็ยังไหว อาการอย่างนี้เป็นอาการปกติของการปั่นในระยะทางไกล ๆ และใช้เวลานาน แต่ก็โอเค มันยังปั่นทำระยะทางได้ไกลกว่านี้อีกโขแต่นี่อีกแค่ 2 – 3 กิโลจิ๊บ ๆ สบาย ๆ


                รถเกี่ยวลงมือเกี่ยวและปั่นข้าวในนาก่อนผมไปถึง มันคำรามเสียงดังกระหื่มทั่วผืนนา ฟันที่เป็นวงกลมของมันหมุนเป็นเกลียวเกี่ยวต้นข้าวอย่างเมามัน ฟ่อนข้าวถูกลำเลียงเข้าเครื่องปั่น (Spinning) แล้วส่งข้าวมาตามท่อเป็นเมล็ดไหลลงถุงที่เปิดปากรองรับอยู่ด้านนอก มันไหลออกมาอย่างต่อเนื่องจนเต็มถึงปากถุง จากนั้นคนงานก็จะขยับถุงข้าวออกเพื่อให้ถุงเปล่าได้เข้ามาแทนที่ เป็นเช่นนี้จนพื้นที่บนรถเกี่ยวแน่นไปด้วยถุงข้าว จึงยักย้ายถ่ายเทลงไปยังรถลำเลียงเพื่อนำไปเก็บยุ้งฉางอีกทอดหนึ่งต่อไป
                การเก็บเกี่ยวข้าวโดยวิธีนี้ เป็นเทคโนโลยีในยุคจักรกล ที่ใช้แรงงานไม่มาก บนรถเก็บเกี่ยวมีเพียงพนักงานขับและคนงานช่วยกันจัดถุงข้าวอีกสองคนก็สามารถเก็บเกี่ยวข้าวได้ทั้งวันเป็นสิบ ๆ ไร่ ต่างกับการเก็บเกี่ยวในยุคเกษตรกรรม กิจกรรมเช่นนี้ใช้แรงงานชาวนาหลายสิบคนกว่าจะเสร็จในแต่ละครั้ง แถมยังต้องใช้เวลาเนิ่นนานอีกด้วย การใช้เวลานานของชาวนาในยุคเกษตรกรรมไม่ทำให้มีปัญหาแต่อย่างใด เพราะการเก็บเกี่ยวในยุคดังกล่าวเก็บไว้เพื่อกิน แต่การเก็บเกี่ยวในยุคจักรกลต้องทำเวลา (Speed) ให้เร็ว เพราะเป้าหมายของข้าวทั้งมวลมุ่งสู่ยุ้งฉางของพ่อค้าวานิช ชาวนารอเพียงเงินค่าข้าว (รวมทั้งปลดหนี้) เท่านั้น การทำนาในยุคปัจจุบันจึงเป็นการทำไว้เพื่อขาย ไม่ได้ทำไว้เพื่อกินเหมือนเมื่อก่อน


                                        "เครื่องเกี่ยวและปั่นข้าวที่ใช้คนงานเพียง 3 คน"

                ผมดูการทำงานและฟังเสียงเครื่องเกี่ยวคำรามก้องจนถึงเที่ยงวัน จึงได้รับประทานอาหารเที่ยงที่ปรุงอย่างง่าย ๆ ตามประสาคนทำนา ข้าวเหนียว ตำแตง เพียงสองอย่างนี้ก็แซ่บเว่อ พุงกางและอิ่มได้ในมื้อนี้ คนงานในยุคทำนาเพื่อขายได้ค่าแรงเป็นรายวัน ในอัตราวันละ 250 – 300 บาท กินอาหารธรรมดา ๆ แบบชาวบ้าน แต่ที่เหมือนชาวเมืองคือ กาแฟ น้ำหวานสีดำและเหล้าเบียร์ ต่างจากชาวนาในยุคทำนาเพื่อกิน แรงงานเป็นการไหว้วานที่เรียกว่า “ลงแขก” กินข้าวแบบชาวบ้าน น้ำดื่มสะอาดและน้ำเสริมแรงคือ เหล้าสาโท เพียงแค่นี้ ไม่มีผลิตภัณฑ์แบบคนเมืองมาปะปนแต่อย่างใด

                                        "คนงานเปลี่ยนจากมือกำเคียวมาเป็นบ่าแบกหาม"

                บ่ายแก่ ๆ ผมลงไปชำระผิวกาย พอให้เย็นสดชื่นและขับคราบเหงื่อไคล ในร่องน้ำที่ไหลผ่านแปลงนา น้ำไหลใสสะอาด แต่ก็ไม่ค่อยอุ่นใจในเรื่องสารเคมีที่อาจมีปนเปื้อน การทำนาในปัจจุบันมุ่งการเพิ่มผลผลิต ทุนจึงลงเพื่อปัจจัยในการเพิ่มผลผลิตไปมาก ทั้งปุ๋ยและยาฆ่าแมลง แต่ก็โอเค ก็เป็นวันสบาย ๆ จึงไม่ควรกังวลมาก
                แดดคล้อยลงต่ำจนเกือบถึงเส้นขอบฟ้า ผมควบสองล้อปั่นกลับเส้นทางเดิม แต่ดูเหมือนมีความคล่องตัวมากขึ้น เพราะชำนาญทาง  แต่ก็มิอาจทำความเร็วได้ทันก่อนที่ตะวันจะลับขอบฟ้า จึงทำให้มืดระหว่างทาง จึงได้อาศัยไฟฉายติดบนแฮนด์ส่องพอคลำไหล่ทางมาถึงลำปลายมาศได้


                                 "ร้านราดหน้ายอดผักหน้าสนามกีฬากลางลำปลายมาศ"                                               

               ผ่านย่านร้านอาหาร รู้สึกหิวจึงแวะกินราดหน้ายอดผักหน้าสนามกีฬากลางอำเภอ รสชาดอร่อย ใครมีโอกาสควรแวะชิม ขายเฉพาะตอนกลางคืน ในบริเวณนั้นยังมีอาหารให้เลือกสั่งทานได้ตามใจชอบ
             ผมกลับเข้าบ้าน เมื่อคิดสะสมระยะทางการปั่นในวันนี้ได้ประมาณ 34 กิโลเมตรครับ แต่เมื่อคิดถึงเงินที่สะสมจากการขายข้าว ไม่มีความหมายหรอกครับ (อิอิ) เพราะ “เงินเป็นของมายาแต่ข้าวปลาสิของจริง”

             วันสบาย ๆ สไตล์ด็อกเตอร์ยา จึงเป็นกิจกรรมสบาย ๆ พอได้สุขใจเช่นนี้แหละครับ
               



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น