วันพฤหัสบดีที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ปั่นไปล่า-ดัก-จับ-กับอิสาน (Cycling to The Isan Hunters)




               วันนี้ผมตื่นแต่เช้าตรู่ แต่งตัวจับเจ้า MERIDA (จักรยานเสือภูเขา) คันเดิมออกสตาร์ทจากบ้านพัก หลังฟ้าสางได้ไม่นาน ทัศนวิสัยวันนี้แจ่มใส แดดยังซ่อนตัวหลังกลีบเมฆ สองล้อทะยานมุ่งสู่ถนนสาย 226 อันเป็นเส้นทางที่ใช้ประจำ ลำปลายมาศ – บุรีรัมย์

               
  "กลุ่มหมอกลอยตัวเต็มท้องถนนสายลำปลายมาศ-บุรีรัมย์  เวลา 07.12 น. 6 พฤศจิกายน 2557"

แต่ปั่นไปได้ประมาณ 1 กิโลเมตร ต้องเผชิญกับกลุ่มหมอกหนาเตอะดักรออยู่ข้างหน้า มวลไอหมอกลอยตัวนิ่งสนิทไม่รับรู้การเคลื่อนไหวใด ๆ ของยวดยานที่ผ่านไปมา ผมมองเห็นภาพข้างหน้าได้เพียงระยะ 50 เมตรไกลสุด รถยนต์บนถนนต้องเปิดไฟหน้าช่วยขยายทัศนียภาพ ส่วนผมต้องชะลอจอดข้างทางเพื่อเปิดไฟท้าย เพิ่มความปลอดภัยให้กับตนเองและความที่ต้องลดความเร็วลงทำให้การเคลื่อนตัวจึงเป็นไปแบบเนิบนาบ
              เป้าหมายของผมในเช้านี้คือ พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านหนองบัวโคก (Nongbuakok Folk Museam)  ซึ่งตั้งอยู่ริมถนนสายลำปลายมาศ – บุรีรัมย์ หลักกิโลเมตรที่ 21 นับจากอำเภอเมืองบุรีรัมย์ไปทางทิศตะวันตก พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านหนองบัวโคกเป็นพิพิธภัณฑ์ขนาดเล็ก เกิดจากการสะสมเครื่องมือเครื่องใช้ของชาวบ้านในท้องถิ่นโดยเฉพาะในเขตจังหวัดบุรีรัมย์เป็นส่วนมาก เพราะเชื่อว่าเครื่องมือเครื่องใช้ของชาวบ้านในสังคมชนบทกำลังลดบทบาทและจะหมดไปในที่สุด ซึ่งแต่เดิมเครื่องมือดังกล่าวเคยได้ใช้สอยในชีวิตประจำวัน ชาวบ้านได้รับประโยชน์เป็นอย่างยิ่ง ในอดีตถูกสร้างขึ้นมาจากมันสมองของสามัญชนที่เป็นชาวบ้าน โดยผ่านการทดสอบจนเป็นรูปแบบที่ลงตัวและใช้งานได้อย่างมีคุณภาพ อุปกรณ์ส่วนใหญ่จะทำจากวัสดุที่ผุพังง่าย ในอนาคตจะไม่มีการสร้างเพิ่มเติม เพราะขาดการสืบทอดองค์ความรู้จากบรรพบุรุษ


                                    

                                             "ปูนาชูกล้ามขอโอกาสได้ข้ามถนนบ้าง"

                ผมพาเจ้า MERIDA ฝ่ากลุ่มหมอกไปได้ประมาณ 3 กิโลเมตร มวลหมอกเริ่มบางเบาลง แต่ฟ้ายังหลัว เห็นเพียงเค้าลางของพระอาทิตย์เป็นวงกลมอยู่หลังกลุ่มเมฆทึมทึบ มองไปข้างหน้าเห็นถนนที่ทอดตัวยาวออกไปได้ชัดเจนเกือบปกติ อากาศยังเย็นสบาย ไร้แสงแดดสาดส่อง การปั่นของผมในวันนี้จึงยังทรงพลังไม่ออกอาการเหนื่อยเร็วเหมือนกับการฝ่าเปลวแดดเข้ม

                                     "สองฝั่งถนนเต็มไปด้วยข้าวสีทองรอการเก็บเกี่ยว"

             พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านฯ อยู่ไม่ไกลก็จะถึงแล้ว เหลืออีกสักประมาณห้าหกกิโลเมตรเท่านั้น ผมผ่านโค้งถนนมาได้ไม่นานก็เข้าเขตหมู่บ้านหนองบัวโคก หมู่บ้านแห่งนี้ก็เหมือนกับหมู่บ้านทั่ว ๆ ไปในภาคอีสาน ที่อดีตออกหาอาหารการกินโดยใช้เครื่องมือต่าง ๆ เช่น ใช้แหหว่านปลาตามห้วยหนองคลองบึง จับไก่ที่เลี้ยงไว้มาประกอบอาหารกินกันในครัวเรือน เป็นต้น การหาและการประกอบอาหารทำได้ในทันทีทันใด แต่ปัจจุบันกลับต้องใช้เวลาเดินทางไปซื้อหาจากตลาดที่อยู่ไกลครัวเรือน  ลักษณะที่เปลี่ยนแปลงไปเช่นนี้ ทำให้สิ่งของเครื่องใช้สำหรับหาอาหารในอดีตจำต้องลดบทบาทลงและค่อย ๆ สูญหายไปอย่างช้า ๆ
                ดังนั้น การนำเครื่องมือเครื่องใช้มาเก็บรักษาไว้ในที่เดียวกัน จึงเป็นการอนุรักษ์เพื่อประโยชน์ต่อการเรียนรู้ วิถีปัญญาของบรรพบุรุษในอดีต


                 ผมทำระยะทางมาได้เพียง 11 กิโลเมตรก็ถึงหน้าพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านหนองบัวโคก ระยะทางแค่นี้ ร่างกายผมยังอุ่น ๆ อยู่เลย มันเป็นระยะทางหนึ่งในสี่ที่ผมใช้ในการออกกำลังการแต่ละครั้ง ดังนั้นผมจึงขอผ่านไปเอาเหงื่อออกให้พอก่อนแล้วจะยูเทริ์นกลับมา
                ผมควบรถสองล้อกลับเมื่อทำระยะทางได้พอสมควร แสงแดดลากเงาให้ทอดตัวยาวไปข้างหน้า แดดยามเช้านี้เป็นสีทองฉาบทาผืนดิน มันทำมุมประมาณสามสิบองศากับแนวระนาบ เม็ดเหงื่อบนแผ่นหลังของผมผุดพรายจนชุ่มเสื้อเจอร์ซี (Jersey)  เมื่อมาถึงหน้าพิพิธภัณฑ์อีกครั้ง ผมได้จอดรถจักรยานไว้ที่หน้าประตู สายตาเหลือบแลเห็นสตรีวัยกลางคนกำลังง่วนอยู่กับการทำความสะอาดและตกแต่งบริเวณหน้าพิพิธภัณฑ์อยู่เพียงลำพัง



                            
                                                           "คุณแม่รำพึง วรธงไชย"

                   “คุณแม่รำพึง วรธงไชย” วัยห้าสิบกว่า คือผู้หญิงคนนั้น ท่านเป็นเจ้าของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้
                    “คนริเริ่มคืออาจารย์ทำนุ วรธงไชย” คุณแม่เริ่มเล่าถึงที่มา
                “ปัจจุบันอาจารย์เสียชีวิตไปสองปีแล้ว...ท่านเป็นคนขยัน เอาจริงเอาจัง รักการสะสมงานพื้นบ้านและก็ทำเพื่อสอนลูกหลาน” คุณแม่ขยายความไปถึงจุดประสงค์ของสามี
                อาจารย์ทำนุ วรธงไชย เดิมเป็นคนจังหวัดนครราชสีมา จบการศึกษาระดับมหาบัณฑิตไทยคดีศึกษา (เน้นมนุษย์) จากมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒมหาสารคาม รับราชการเป็นอาจารย์ในโปรแกรมทัศนศิลป์ คณะมนุษย์ศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ตำแหน่งผู้ช่วยศาสตราจารย์ แต่งงานกับคุณแม่รำพึง วรธงไชย มีบุตรด้วยกันสองคน
                          

                                   
                                                             "ผศ. ทำนุ วรธงไชย"

                  “พอพ่อเสียก็ได้ลูกชายมาช่วยสานต่องาน” คุณแม่รำพึงกล่าวถึงการทำกิจการของครอบครัว
                “สิ่งที่ดำเนินการอยู่ก็คือ การทำหน้าที่เป็นแหล่งเรียนรู้ให้กับนักเรียน นักศึกษามาดูงาน ก็มีจำหน่ายสิ่งของบ้าง ก็มีกระถางต้นไม้ หม้อปั้นดินเผา ของที่ระลึกและก็ต้นไม้บ้างเล็กน้อย” คุณแม่รำพึงพูดพลางทำงานไปพลาง
                “ก็อาจารย์เค้าสั่งไว้ก่อนเสียว่าให้พาลูกสานต่อ นี่ก็จะขายนาสักทุ่งมาสร้างอาคารเก็บงานอาจารย์ งานของอาจารย์ยังไม่ได้นำออกมาแสดงเลย ยังเก็บไว้อยู่” คุณแม่เล่าถึงโครงการในอนาคต
                ผมขอตัวคุณแม่รำพึง ไปเดินชมพิพิธภัณฑ์ที่จัดสิ่งของไว้ให้ผู้เข้าชมได้ชมตามอาคารต่าง ๆ ซึ่งอยู่ถัดจากที่เราคุยกันไปเล็กน้อย บริเวณพิพิธภัณฑ์มีบรรยากาศร่มรื่นด้วยร่มเงาของต้นไม้ อาคารที่ปลูกไว้เพื่อแสดงผลงานจัดไว้ได้อย่างเป็นสัดส่วน มีความลงตัวในความเป็นศิลปะ ภายในอาคารจัดแสดงเครื่องมือเครื่องใช้ในการทำมาหากินของคนชนบทที่ปัจจุบันหาดูไม่ได้แล้ว เป็นต้นว่า
                เครื่องมือล่า เช่น ปืนแก๊บ หน้าไม้ ปืนยาง หนังสะติ๊ก
                เครื่องมือดัก เช่น กับลวด  กับยาง แร้วคอม้า จั่นหนู ซิงกระต่าย
                เครื่องจับ เช่น แห เสียม สุ่ม สุ่มปลาดุก
                                                          ฯ ล ฯ เป็นต้น


                             "เครื่องมือล่า ดับ จับสัตว์บางส่วนที่นำมาแสดงในพิพิธภัณฑ์"

                นอกจากนี้ คุณแม่รำพึง ยังได้นำผลงานทางวิชาการที่อาจารย์ทำนุได้เขียนขึ้นเพื่อเป็นวิทยาทานมาให้ผมได้ศึกษาหลายเล่ม เล่มหนึ่งที่อาจารย์ทำนุเขียนขึ้นเพื่ออธิบายงานในพิพิธภัณฑ์ของอาจารย์คือ
                “ล่า ดัก จับกับอีสาน” จัดพิมพ์โดยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินทร (องค์การมหาชน) เมื่อปี พ.ศ. 2551 เป็นหนังสือที่รวบรวมเอาเครื่องมือเครื่องใช้ที่คนอีสานให้ในการดำรงชีวิตมาแต่โบราณกาลที่ปัจจุบันไม่มีให้ดูแล้ว
เป็นหนังสือที่ให้ความรู้ดีน่าสนใจมาก
                ในระยะเวลาที่ผ่านมามีนักเรียน นักศึกษาและประชาชนได้แวะเวียนไปชมพิพิธฑภัณฑ์เป็นจำนวนมาก รวมทั้งรายการทีวีได้ไปถ่ายทำเป็นสารคดีเพื่อเผยแพร่ทางโทรทัศน์หลายช่องด้วยกัน
                เนาวรัตน์ พงศ์ไพบูลย์ กวีซีไรต์หนึ่งในผู้ไปเยี่ยมชม ได้เขียนบทกวีฝากไว้ว่า
                                ศิลปะ ปรากฏที่กลางใจ
                                ศิลปะ เป็นใหญ่อย่างเป็นอยู่
                                ศิลปะ จากใจสู่ใจรู้
                                ศิลปะ เชิดชู ความเป็นคน


                                                       "บรรยากาศภายในพิพธภัณฑ์"

                ผมเพลินอยู่จนแดดกล้าเข้ามาทักว่าสายพอสมควรแล้ว จึงขอลาคุณแม่รำพึง วรธงไชยกลับลำปลายมาศ โดยใช้เส้นทางเดิม
                          

                
                                                  "ขนมจีนนำ้ยาปลาอาหารมื้อเที่ยง"

                 กลับถึงบ้านวันนี้ มีอาหารไว้รอมื้อเที่ยง เป็นรูปแบบ “สบาย ๆ สไตล์ด็อกเตอร์ยา” คือขนมจีนน้ำยาปลาเน้นผักเป็นส่วนใหญ่ ตามด้วยกล้วยไข่อีกสองลูก สำหรับขนมจีนหาทานได้ง่ายในลำปลายมาศ แต่ที่ผมทานประจำเพราะอร่อยมากคือ เจ้าที่ขายในตลาดสดลำปลามาศ มีโอกาสผ่านไปอย่าลืมถามหานะครับ
                                        

หมายเหตุ ข้อมูลบางส่วนได้มาจากเอกสารของอาจารย์ทำนุ วรธงไชยเขียนไว้เมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น