วันอาทิตย์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ข้าเก่าเต่าเลี้ยง: ฟางฟ่อนสุดท้าย



                ตอซังฟางข้าวระบายสีน้ำตาลดารดาษเท้องทุ่ง มีเพียงเรียวหญ้าสีเขียวบนคันนาที่ตัดผ่านผืนทุ่งเป็นตารางพอให้ไอ้ทุยได้ละเลียด มันเป็นฤดูเก็บเกี่ยวต้นเดือนอ้ายปลายเดือนสิบสอง แสงตะวันยามนี้เปลี่ยนองศาขึ้นทางทิศตะวันออกเฉียงใต้และกำลังบ่ายหน้าไปทางทิศตะวันตกในมุมเดียวกัน แดดยามสายเริ่มแผดร้อน แต่ดูเหมือนจะไม่สะเทือนผิวไอ้ทุยที่เจ้าของปล่อยให้มีอิสระในการและเล็ม มันเป็นเสรีภาพที่ผูกโยงด้วยเชือกยาวราวห้าเมตรที่เกี่ยวปลายข้างหนึ่งเกี่ยวไว้กับกอหญ้าบนคันนา
ห่างไปไม่ไกลเสียงกระหึ่มของเครื่องเกี่ยวข้าวกำลังขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน กลไกของมันบดปั่นรวงข้าวจนเมล็ดป่นร่วงใหลลงสู่กระสอบป่านที่รองรับอยู่ปลายรางของเครื่องจักกล ท่อลมระบายฟางของเครื่องเกี่ยวที่ปลายท่อโผล่ออกไปอีกด้านหนึ่งกำลังพ่นเศษฟางฟุ้งเป็นฝุ่น ลอยขึ้นไปในอากาศจนแรงลมจากท่ออ่อนระทวย กลุ่มเศษฟางจึงร่วงลงสู่พื้นถมทับกันเป็นพะเนิน กระบวนการเก็บเกี่ยวในยามนี้ใช้แรงงานเพียงไม่กี่คนก็สามารถจัดเรียงกระสอบข้าวไว้รอการขนถ่ายเข้าสู่เมือง


ย้อนหลังไปไม่ไกล แรงงานในไร่นาเป็นแรงงานจากแรงคนและแรงสัตว์โดยเฉพาะควาย  กระบวนการผลิตและการเก็บเกี่ยวไม่เร่งรุด ค่อยเป็นค่อยไป ทุกขั้นตอนอาจใช้แรงงานไหว้วานที่เรียกว่า ลงแขก ผลัดเปลี่ยนกันจากนาโน้นไปนานี้ นานี้ไปนานั้น เป็นวัฒนธรรมแห่งการเกื้อกูลพึ่งพาซึ่งกันและกัน ผลผลิตที่ได้ขึ้นลานและลำเลียงเก็บไว้ในยุ้งฉางเพื่อบริโภคต่อไป
ต่อมาอีกไม่นาน เข้าสู่ยุคทรานซิสเตอร์ที่เสียงเพลงจากวิทยุเข้าไปขับกล่อมแรงงานในไร่นา เสียงมันลั่นทุ่ง กระบวนการผลิตและการเก็บเกี่ยวยังใช้แรงงานในชนบท เป็นแรงงานหนุ่มสาวในหมู่บ้านที่ไม่สามารถเรียกใช้ไหว้วานกันได้อีกต่อไป ทุกแรงงานต้องจ้าง ค่าจ้างเริ่มต้นจากหลักร้อย ร้อยยี่สิบ ร้อยหกสิบ สองร้อย และนานวันเริ่มจะหาแรงงานจากคนหนุ่มสาวได้ยาก เพราะหนุ่มสาวส่วนใหญ่ผันตัวเองไปเป็นคนใช้แรงในเมืองอยู่กับโรงงานใช้เงินเลี้ยงชีพ จนเกิดภาวะหมู่บ้านร้าง เหลือเพียงเด็กและคนแก่ เฝ้าเรือน
ในยุควิทยุเคลื่อนที่นี้ สิ่งที่ปะปนไปกับเสียงเพลงลูกทุ่งในท้องนาคือ การโฆษณาประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์จากโรงงานอุตสาหกรรม มาเชิญชวนให้เห็นว่าชีวิตของคนท้องนาต้องมีปัจจัยพื้นฐานที่จำเป็นเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเครื่องอุปโภคและบริโภค ในชีวิตประจำวันล้วนแล้วแต่จะต้องมีต้องใช้สิ่งที่ผลิตออกมาจากโรงงานทั้งสิ้น ด้วยเหตุนี้วิถีชีวิตของตนในชนบทจึงต้องใช้ทุนเพิ่มขึ้น ทุนในการดำเนินชีวิตประจำวันไปจึงถึงทุนในการผลิต โดยใช้เงินเป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยน เป้าหมายของการผลิตในไร่นาจึงเปลี่ยนจากการเก็บไว้กิน ไว้ใช้ เป็นผลิตไว้ขาย เพื่อให้ได้เงินไปแลกเปลี่ยนสินค้าอุปโภคบริโภคจากโรงงานอุตสาหกรรมตามที่โรงงานต่างได้โฆษณาเชิญชวนไว้


ความสัมพันธ์ของการผลิตภาคเกษตรกรรมจึงเริ่มอยู่ภายใต้อิทธิพลของการผลิตภาคอุตสาหกรรมตั้งแต่นั้นมา และเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะเดียวกันเครื่องมือโฆษณาประชาสัมพันธ์ของอีกฝ่ายได้คลี่คลายขยายตัวอย่างมีประสิทธิภาพและสามารถเข้าครอบครองพื้นที่การสื่อสารทางเดียวได้อย่างเบ็ดเสร็จ เมื่อเครื่องโทรทัศน์ได้ไปสถิตย์อยู่ในทุกครัวเรือนของแรงงานภาคเกษตรกรรม
กระบวนการผลิตในภาคเกษตรกรรมได้จัดระบบการผลิตคล้ายกับการผลิตในภาคอุตสาหกรรมที่ต้องมีทุน มีที่ดิน มีแรงงานคน มีเครื่องจักรกลและมีปัจจัยการผลิตที่ซับซ้อนขึ้น เช่น ต้องใช้ปุ๋ย ใช้ยาฆ่าแมลง ใช้สารเคมีเร่งและเพิ่มผลผลิต เป้าหมายคือ ขายให้ได้เงินเร็วที่สุด ความสัมพันธ์ของคนในกระบวนการผลิตในไร่นาจึงเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง ปัจจุบันแรงงานในไร่นามีค่าจ้างเท่ากับกรรมกรในโรงงานแล้ว
ตะวันเคลื่อนเลยเพลไปเล็กน้อย คนงานสี่ห้าคนยังยืนเรียงรายรอบเครื่องเกี่ยว ไม่มีใครพูดจากับใครมีเพียงเสียงคนที่คุมเครื่องอยู่ข้างบนสั่งให้โยนฟ่อนข้าวลงเครื่องเป็นครั้งคราว เมล็ดข้าวจากฟางฟ่อนสุดท้ายใหลลงกระสอบป่าน ฝุ่นฟางฟูฟ่องฟุ้งไปในอากาศ เป็นการโบกมือลาภารกิจในฤดูกาลนี้ เข็มร้อยเชือกรัดปากถุงเลื้อยตามแรงมือคนงานจากมุมหนึ่งไปอีกมุมหนึ่งจนปากถุงปิดสนิท เครื่องยนต์เงียบเสียงลง เป็นการสรุปจำนวนการขบเคี้ยวของฟันเฟือง นับได้สิบกระสอบป่านกับนาสิบกว่าไร่ เป้าหมายการขนถ่ายคือโรงสีในเมือง


ไอ้ทุย...ยังและเล็มหญ้าอยู่บนคันนาที่เดิม มันใช้อิสรภาพที่ผูกโยงด้วยเงื่อนไขของผู้ครอบครอง แต่เดิมนาผืนนี้ทั้งผืนมันได้ใช้แรงงานไถ หว่าน ปักดำ เก็บเกี่ยว ขึ้นลาน จนชักลากเข้าสู่ยุ้งฉาง ปัจจุบันมันเป็นเพียงข้าเก่าเต่าเลี้ยง ที่เจ้านายให้นิยามใหม่ มูลค่าของมันไม่ได้อยู่ที่การใช้แรงงานอีกต่อไป แต่อยู่ที่เนื้อหนังมังสาอันอ้วนพี

 ข่าวว่าไม่นาน เจ้านายจะนำมันไปขาย เพราะข้าวเพียงสิบกระสอบไม่พอเหลือไถ่ถอนนาที่จำนองไว้ 

วันเสาร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

พลอยพราว จันท์ (GEMSPRAAO CHANT)



"ร้านพลอยพราวจันท์"
อัญมณีเมืองจันทบุรี เปิดตัวอัญมณีประจำวันเกิด เดือนเกิดสุดสวยล้ำค่า
ณ LIVELY MARKET  บุรีรัมย์ 25 ธันวาคมนี้



               
                                      "Container shop" แหล่งช้อปปิ้งใหม่ของคนบุรีรัมย์

                      เตรียมพบกับแหล่งช้อปปิ้งและประสบการณ์ใหม่ ๆ ณ Lively Market บนแนวคิด fusion community market ที่สามารถตอบสนอง lifestyle ของคนบุรีรัมย์ทั้งกลุ่มวัยรุ่น วัยทำงานและครอบครัว การออกแบบที่ผสานสวนสวยสไตล์พาร์ค เข้ากับร้านค้าแนวโมเดิร์นกับ Container shop อย่างลงตัว


                                                        "สวนสวยสไตล์พาร์ค"

                นอกจากนี้ทุกวันศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ ตั้งแต่ 5 โมงจนถึง 4 ทุ่ม เปิดเป็นถนนคนเดิน “ถนนลั๊ลลา” ด้วยสินค้าแฟชั่น ของทำมือ เสื้อผ้ากระเป๋า เครื่องประดับ รองเท้า
    


                
                                                       "ตรงข้ามทวีกิจ วีมาร์ท"

                                    


                                                   "แหวนสุดสวยถ่ายจากของจริง"
           


                                      เปิดบริการในวันที่ 25 ธันวาคม 2557 เป็นต้นไป

วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

พับรถไปพักรบ : Rested by Folding Bikes


            ช่วงปิดภาคเรียนเดือนตุลาคม ผมตัดสินใจใช้เวลาที่มีอยู่ในช่วงสั้น ๆ พับรถพับ (Folding Bikes) 2 คันใส่ท้ายรถเก๋งออกเดินทางจากบ้านพัก มุ่งหน้าไปสู่ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 24 อุบลราชธานี-สีคิ้ว ที่พาดผ่านอำเภอนางรอง ถึงทางสี่แยกนางรอง ผมหมุนพวงมาลัยรถเลี้ยวขวา ลัดเลาะไปทางอำเภอหนองกี่ หนองบุญมาก โชคชัย จนถึงแยกอำเภอปักธงชัยแล้วเลี้ยวซ้ายเข้าสู่ทางหลวงหมายเลข 304 กบินทร์บุรี เป้าหมายคือ การละงานไปพักผ่อนที่วังน้ำเขียว
                วังน้ำเขียว เป็นอำเภอหนึ่งในจังหวัดนครราชสีมา มีขนาดพื้นที่ 1,129,996 ตารางกิโลเมตร จำนวนประชากร 43,089 คน จำนวนบ้านเรือน 16,570 หลังคาเรือน (ธันวาคม 2555)
                วังน้ำเขียวได้ชื่อว่า เป็นเมืองที่มีโอโซนติดอันดับ 1 ใน 7 ของโลก จนมีสมญานามว่า “สวิตเซอร์แลนด์แดนอีสาน”  
มีคำขวัญประจำเมืองว่า “วังน้ำเขียวเมืองหนาว ภูเขามากมาย น้ำตกหลากหลาย ผลไม้นานาพันธุ์ แดนสวรรค์เมืองในหมอก”
ขันรถผ่านแยกปักธงชัยไปได้ไม่ไกล ท้องเริ่มหิวเพราะเป็นเวลาใกล้เที่ยง จึงนึกถึงร้านที่เคยแวะพักรับประทานอาหารกลางวันซึ่งมีที่เดียวคือ ปั้มน้ำมัน ปตท. ที่อยู่ฝั่งซ้ายมือก่อนเข้าอำเภอปักธงชัย ก่อนหน้านั้นไม่นานผมเคยแวะมารับประทานข้าวเที่ยงในเวลาเดียวกันนี้ มีผู้คนที่เดินทางไปถึงในเวลาเดียวกันคึกคักจนร้านอาหารแน่นขนัด
ผมเลี้ยวรถเข้าสู่ปั๊ม ปตท. เลยไปทางด้านหลังที่เป็นร้านอาหาร ที่จอดรถว่างจนดูแปลกตาไปกว่าครั้งก่อนหน้านี้ มองไปยังร้านอาหาร พบว่าลดจำนวนลงไปกว่าครึ่ง ผู้คนในร้านมีไม่มาก จึงดูหงอย ๆ อย่างไรพิกลผมเข้าไปสั่งอาหารแบบจานเดียวไม่ต้องรอนานและไม่ต้องแลกคูปอง สั่งปุ๊บได้ปั๊บเลย เวลาที่ใช้รับประทานอาหารมื้อนั้นจึงใช้ไม่มาก
เมื่อไม่นานมานี้ ในช่วงเวลาพักผ่อนเช่นนี้ เรามักได้ข่าวคราวของผู้คนหลั่งใหลไปวังน้ำเขียวจนยวดยานบนถนนสายนี้ติดหนึบ ทั้งนี้ วังน้ำเขียวได้รับการโปรโมทให้เป็นเมืองท่องเที่ยว มีสถานที่เที่ยวสำคัญ ๆ หลายแห่งเช่น น้ำตกม่านฟ้า จิบกาแฟร้าน a cup of love  ชมกระทิงเขาแผงม้า สวนสุชาดา สวนเบญจมาศผู้ใหญ่สมประสงค์ วิลเลจฟาร์มแอนด์ไวน์เนอรี่ วังน้ำเขียวฟาร์ม สวนลุงไกรและผาเก็บตะวัน
บ่อยครั้งที่ผมไปราชการที่นั่น ได้ใช้รีสอร์ทเป็นสถานที่พักปฏิบัติราชการ ซึ่งรีสอร์ทดังกล่าวมีจำนวนมาก แต่ละแห่งที่ล้วนแล้วแต่น่าพักอาศัยทั้งสิ้น ราคาค่าที่พักก็แตกต่างกันไปแล้วแต่จะเลือกพักตามอัธยาศัย ร้านอาหาการกินก็มีให้เลือกแล้วแต่เราสะดวก
เดินทางไปคราวนี้ ก็มีแผนจะพักที่รีสอร์ทแห่งใดแห่งหนึ่ง การท่องเที่ยวชมสถานที่ต่าง ๆ ก็จะใช้รถพักเป็นพาหนะ
ผมออกจากเขตอำเภอปักธงชัยไปได้ไม่นานก็ล่วงถึงเขตอำเภอวังน้ำเขียว เมื่อเข้าสู่ตัวอำเภอถนนหมายเลข 304 โล่งตลอด มองไปสองข้างทาง ดูเงียบเหงา เปลวแดดยามบ่ายดูระยิบ ผมขับรถเลยไปถึงเขตที่เป็นย่านชุมชนที่เคยมีนักท่องเที่ยวหนาตา แต่สำหรับวันนี้ดูเป็นตลาดธรรมดา ๆ เหมือนเมืองอื่น ๆ ในชนบท ผมจอดรถดูลาดเลาว่า จะเข้าไปหาที่พักที่ไหนดี ในที่สุดก็ตัดสินใจวกกลับไปที่ตำบลไทยสามัคคี เพราะเป็นย่านแหล่งท่องเที่ยวที่มีที่พัก ร้านอาหาร และภูมิทัศน์สวยงามมากที่สุดในวังน้ำเขียว และตัดสินใจแวะพักในรีสอร์ทใกล้ปากซอยไทยสามัคคีนั่นเอง


                               "รีสอร์ทที่ใช้เป็นสถานที่พักในทริปนี้"

แดดยามบ่ายแก่ ๆ ยังร้อนระอุ แผนการที่เคยวางไว้ว่าจะใช้รถพักปั่นท่องแดนคงต้องพับต่อไป เพราะร้อนเกินไป อีกทั้งถนนลาดชันยากแก่การใช้รถพับให้พาไปถึงจุดหมายได้ ดังนั้นจึงใช้รถเก๋งขับไปให้สุดทางของถนนสายนี้ นั่นคือ ผาเก็บตะวัน
ลึกเข้าไปบนถนนในเขตตำบลไทยสามัคคี สองข้างทางยังมีแมกไม้เขียวขจี ทั้งที่เป็นพืชไร่และป่าไม้ แต่ที่เป็นภาพแปลกตาไปมาก ๆ คือ อาคารบ้านเรือนที่เป็นร้านอาหาร ที่พัก  รีสอร์ทได้ถูกทิ้งร้างไว้ ไม่มีการใช้สอย ลักษณะเช่นนี้มีปรากฏอยู่สองข้างทางตลอดแนวไปจนถึง ผาเก็บตะวัน


                                             "จุดชมวิวผาเก็บตะวัน"

ผาเก็บตะวันดูเหงาหงอยเหมือนที่อื่น ๆ มีคนท่องเที่ยวอยู่ก่อนหน้าที่ผมจะไปถึงไม่กี่คน ที่นี่เป็นจุดชมทิวทัศน์ยามพระอาทิตย์ตกดินที่สวยงามของวังน้ำเขียว ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ของอุทยานแห่งชาติทับลาน บนเขาสันกำแพง ด้านล่างเป็นผืนป่าดงดิบ มีกิจกรรมการปลูกป่ามะค่าโมงด้วยหนังสติ๊กกับไม้ก๊อฟ เพื่อให้เมล็ดมะค่าโมงลอยไปตกยังผืนป่าด้านล่าง
ผมยืนอยู่บนจุดชมตะวัน ซึ่งขณะนี้แดดยังแผดแสงกล้า ทำได้เพียงแต่มองลงไปยังผืนป่าด้านล่างที่ดูเวิ้งว้างไกลสุดตา ไม่ได้ทำกิจกรรมยิงหนังสติ๊กแต่กดแช็ทเตอร์ได้ภาพไว้เป็นที่ระลึก หลังจากนั้นจึงวกกลับออกไปในเขตชุมชนไทยสามัคคี เพื่อแวะสวนลุงไกร


                              "อาคารที่พักที่ถูกทิ้งร้างมีให้เห็นทั่วไป"

สวนลุงไกร กล่าวกันว่าเป็นแหล่งปลูกผักเมืองหนาวปลอดสารพิษ ที่โด่งดังของวังน้ำเขียว บนพื้นที่ 15 ไร่มีแปลงผักทอดตัวยาวปลูกสลับกันหลากหลายพันธุ์ทั้ง คอส บัตเตอร์เฮ็ด เรดโอ๊ก กรีนโอ๊ก  เรดลีฟ ผักกาดแก้ว มะเขือเทศ กะหล่ำปลีสีม่วง เบบี้แครอท เป็นต้น ลุงน้อย ชมไกรเจ้าของสวนจะเป็นวิทยากรบรรยายเรื่องราวเกี่ยวกับการเพาะปลูกผักปลอดสารพิษและโชว์ลูกคอและฝีมือการเล่นกีตาร์คันทรี สร้างความสนุกสนานให้กับนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก
ขับรถลงมาจากผาเก็บตะวัน แวะลงทางแยกฝั่งขวามือเมื่อมาถึงชุมชนไทยสามัคคี เพียงห้าร้อยเมตรก็ถึงสวนลุงไกร บริเวณรอบ ๆ สวนลุงไกรไม่ต่างไปจากสภาพทั่ว ๆ ไปที่พบเห็นมาแล้ว คือดูเงียบเหงา ไร้ผู้คนภายในร้านขายของจำหน่ายพืชผักและของที่ระลึก มีเพียงพ่อค้าแม่ค้าสองสามรายนั่งตบยุงอยู่ตามลำพัง ลุงไกรทำงานง่วนอยู่ด้านหลังโรงเรือน ในมือลุงไกรไม่ได้กุมคอกีตาร์ร้องเพลงคันทรี แต่กลับเป็นการจับด้ามจอบเตรียมปุ๋ยเตรียมดินปลูกพืชผักในแปลงแทน ไม่แปลกหรอกที่เห็นภาพลุงไกรเป็นอย่างนั้น เพราะเป็นงานอาชีพของลุงไกร แต่ที่แปลกคือ เสียงกีตาร์ที่ขาดหายไปต่างหาก


                           "การทดแทนสิ่งที่ขาดหายไปในวังน้ำเขียว"

กลับเข้ามารีสอร์ทเกือบพลบค่ำ อาหารเย็นมื้อนี้คงเป็นร้านปากซอย ซึ่งมีเหลืออยู่เพียงร้านเดียวที่พอรับคนจรได้ ผมเพิ่งได้ปั่นรถพับ ด้านหน้าของร้านเป็นแผงลอยขายพืชผักผลไม้แก่นักท่องเที่ยว ที่ดูจะเป็นความพยายามของชาวบ้านแถบนั้นที่พยายามจะยืนหยัดการดำเนินชีวิตให้ยั่งยืนต่อไปให้ได้ ผมสั่งอาหารประเภทเห็ดมารับประทานสองสามอย่างสำหรับคนสองคน เพียงสองทุ่มก็ดูจะดึกเพียงพอแก่การปิดร้านแล้ว ผมจึงจับรถพับกลับเข้ารีสอร์ทแต่หัวค่ำ
วังน้ำเขียวในยามนี้ มืด เงียบ สงัด เป็นเหมือนดั่งชุมชนที่ซ่อนตัวในม่านรัตติกาล บรรยากาศเช่นนี้ เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผมที่ต้องการความสงบเย็นในธรรมชาติที่แท้ แม้ว่าจะมีซากปรักหักพังของความอยากได้ใคร่มีของผู้คนหลงเหลืออยู่บ้าง แต่มันกลับเป็นประโยชน์ต่อการเรียนรู้ที่เตือนสติของเราให้เห็นความจริงว่า คนและธรรมชาติคือสิ่งเดียวกันที่ต้องอยู่ร่วมแบบพึ่งพาซึ่งกันและกัน


                       "แรงงานจากพระตะบองกัมพูชามีให้เห็นในรีสอร์ท"

รุ่งขึ้นอีกวัน ไม่เพียงแต่ผมจะย้อนรอยกลับทางเดิม แต่ผมได้ย้อนรอยเรื่องราวของความเป็นไปของ สวิสเซอร์แลนด์แดนอีสานพบ่วา ส.ป.ก. เดินหน้าตรวจสอบที่ดิน (วังน้ำเขียว) แล้ว 572 ราย จากทั้งหมด 6,412รายพบว่า ใช้ที่ดินผิดวัตถุประสงค์เกือบครึ่ง พื้นที่รวมจำนวน 139,300 ไร่ พบว่า 40 % ถูกเปลี่ยนมือจากเจ้าของเดิมและใช้ประโยชน์ในที่ดินผิดวัตถุประสงค์ ส่วนอีก 60 % เกษตรกรยังใช้ที่ดินทำการเกษตรเป็นไปตามวัตถุประสงค์ นอกจากนี้ยังพบว่า มีรีสอร์ท 21 แห่ง ตั้งอยู่ในที่ ส.ป.ก. ด้วย หลังกรณีพิพาทเรื่องการบุกรุกพื้นที่อุทยานแห่งชาติทับลานและเขตป่าสงวนแห่งชาติในพื้นที่ ทำให้ยอดนักท่องเที่ยวหายไปกว่า 90 % (คอมชัดลึกออนไลน์ 15 สิงหาคม 2554)
เพียงหนึ่งวันที่สงบสงัดก็เพียงพอสำหรับผมที่จะกลับไปสู้งานต่อ แต่สำหรับวังน้ำเขียวแล้วคงต้องใช้เวลาอีกนาน นานกว่าเวลาที่ใช้จนเติบโตเป็นวังน้ำเขียวจึงจะเรียกคืนความเป็นธรรมชาติกลับคืนมาได้ดังเดิม





วันจันทร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ปั่นไปพบครูอาเซี่ยน : Cycling to Meets The Asean’s Teachers


                                                                                                          
            เปิดเรียนมาได้หนึ่งสัปดาห์ การใช้จักรยานเป็นพาหนะในเช้าวันนี้ จึงเป็นภารกิจปกติของวันทำงานของผม นอกจากจะมีงานบริหารการเรียนการสอนตลอดทั้งวันแล้ว วันนี้ผมยังมีนัดกับครูที่เป็นผู้นำด้านการเรียนการสอนที่เรียกว่า Instructional Leaders ของโรงเรียนอีกด้วย
                พวกเรานัดกันหลังเลิกเรียน เวลาประมาณ 16.20 น. ณ ห้องประชุมที่เคยใช้ประจำ นอกจากครูผู้นำด้านการเรียนการสอนแล้ว พวกเรายังมีครูใหม่เข้ามาร่วมอีกสามสี่คน ก็เป็นการถือโอกาสนี้ปฐมนิเทศงานในหน้าที่ครูให้ครูใหม่ด้วย
              สิ่งที่เราจะแลกเปลี่ยนกันในวันนี้คือ รูปแบบการสอนแบบ VARK MODEL ซึ่งได้ตกลงนำมาใช้เป็นรูปแบบการสอนของครูในโรงเรียน โดยเฉพาะกลุ่มครูผู้นำฯ เหล่านี้จะเป็นผู้ใช้นำร่องจึงเรียกพวกเขาอีกชื่อหนึ่งว่า ครูแกนนำ
                รูปแบบการสอนแบบ VARK MODEL คือรูปแบบการสอนที่ออกแบบมาเพื่อให้ผู้เรียนที่มีความถนัดในการเรียนรู้ที่แตกต่างกันได้มีโอกาสพัฒนาการเรียนรู้ตามที่ตนถนัด กันประกอบด้วย รูปแบบการเรียนรู้ผ่านการมองเห็น (Visual Learning Style)  รูปแบบการเรียนรู้ผ่านการได้ยิน (Auditory Learning Style)  รูปแบบการเรียนรู้ผ่านการอ่าน/เขียน (Read/Write Learning Style) และ รูปแบบการเรียนรู้ผ่านการเคลื่อนไหว (Kinesthetic Learning Style)

                                 
                                                     "การประชุมครูแกนนำ"

                เมื่อถึงเวลานัดหมายทุกคนต่างมากันพร้อมหน้ากัน ผมเริ่มเปิดประชุมโดยใช้ภาษาอังกฤษ เพื่อให้ครูคุ้นเคยกับภาษาอาเซี่ยน มันไม่ใช่เรื่องแปลกและขบขันสำหรับพวกเราอีกต่อไป เพราะเป็นวัฒนธรรมการสื่อสารของที่นี่ ที่ที่ถ้ามีโอกาสให้พวกเราได้ฝึกการใช้ภาษาอังกฤษ เราเป็นต้องใช้โอกาสนั้น เพื่อต้อนรับการมาของอาเซี่ยน
                Good afternoon, Ladies and Gentleman……..
               มันเป็นคำขึ้นต้นทักทายเพื่อนครูที่พูดเพื่อนำเข้าออกมาสู่การประชุมในวันนี้ที่มีเป้าหมายเพื่อทำความเข้าใจการสอนนักเรียนเพื่อเตรียมทุกคนเข้าสู่สังคมในศตวรรษที่ 21 และท้ายสุดรูปแบบการสอนแบบ VARK MODEL จะกำหนดให้เราต้องสร้างกลยุทธ์ให้เด็กเรียนรู้ (Learning Strategies) แบบใดที่เหมาะสมกับการเรียนรู้ที่แตกต่าง (Learning Differences) ของเด็ก บนพื้นฐานแนวคิดดังกล่าว
             พวกเราแบ่งกันอธิบายเป้าหมายการสอนนักเรียน ด้วยการนำเสนอ (Presentation) พฤติกรรมที่ต้องการให้เกิดแก่เด็กแต่ละคนอันประกอบด้วย องค์ความรู้ (Body of Knowledge) กระบบวนการ (Process) และทัศนคติ (Attitude)
                ผมได้เกริ่นนำถึง การเรียนรู้ที่เป็นองค์ความรู้ตามแนวทฤษฎีของบลูม (Bloom’s  Theory) ที่มีระดับคุณภาพขององค์ความรู้ติ้นลึกแตกต่างกันตั้งแต่ ความรู้ความจำ ความเข้าใจ การนำไปใช้ การวิเคราะห์ สังเคราะห์และการประเมินค่า อันเป็นความรู้ในระดับลึกสุด ระดับคุณภาพของความรู้ที่แตกต่างกันเหล่านี้ล้วนต้องการกลยุทธ์การเรียนการสอนที่แตกต่างกันด้วย

                                 
                                                          "ครูวิภาดา ศรีสุข"


                                                         "ครูพรนิภา นาเมือง"

                ครูวิภาดา ศรีสุข ครูต้นแบบผู้ประสบความสำเร็จในการเรียนการสอนแบบใช้ภาษาอังกฤษในชั้นเรียนเต็มชั่วโมงในรายวิชาคณิตศาสตร์ ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 เป็นผู้รับอาสานำเสนอ กระบวนการที่เป็นภารกิจสำคัญ (Executive Function Process) ของนักเรียน ส่วนครูพรนิภา นาเมืองครูแกนนำรับอาสานำเสนอในหัวข้อ จิตนิสัย (Habits of Mind) อันประกอบด้วยทักษะชีวิตและการเรียนรู้ของคนในศตวรรษที่ 21

                                    
                                               "ครูพีระพรรณ ทวีภักดีเสมอ"

                         
                                                        "ครูสุภนิช สุดรัมย์"

                หลังจากนั้นทุกคนได้ศึกษาถึงรูปแบบการสอนแบบ VARK MODEL โดยการนำเสนอของครู              พีระพรรณ ทวีภักดีเสมอ ครูฝ่ายวิชาการของโรงเรียนและหนุนความเข้าใจด้วยกลยุทธ์การเรียนรู้ (Learning Strategies) จากครูสุภนิช สุดรัมย์ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ครูแกนนำจะต้องนำไปออกแบบการเรียนการสอนทุกหน่วยการเรียนรู้ในรายวิชาของตน
                                        

               
                                                      "ครูนริศรา อุตมะโยธิน"

                 ตบท้ายด้วยครูนิรศรา อุตมะโยธิน ครูสอนภาษาไทยที่รายงานผลการดำเนินการโครงการพัฒนาการอ่านออกเขียนได้ อันเป็นประตูด่านแรกของการเรียนรู้ในสาระต่าง ๆ ที่พัฒนามาตั้งแต่ในช่วงภาคเรียนที่ 1
                นอกจากการเน้นรูปแบบการสอนดังกล่าวแล้ว สิ่งที่ครูแกนนำจะต้องนำไปบูรณาการเข้ากับรูปแบบการสอนด้วยคือ การใช้ ICT และภาษาอังกฤษ การใช้ ICT อาจมีความกังวลน้อยกว่าการใช้ภาษาอังกฤษ ดังนั้น โอกาสใดที่ครูจะได้ฝึกใช้การภาษาอังกฤษ ครูจะใช้โอกาสนั้นทันที เช่นในวงสัมมนาทางวิชาการเช่นนี้
                ดังนั้น ในการประชุมครั้งนี้ ผู้นำเสนอทุกคนจึงพูดภาษาอังกฤษปะปนเท่าที่จะทำได้ตั้งแต่ การแนะนำตนเอง การนำเสนอเนื้อหา ไปจนถึงการสรุปความ มากน้อยตามศักยภาพแห่งตน

                                   

                
                                                 "รองผู้อำนวยการทวีศักดิ์ ชัยเฉลียว"

                แนวคิดการสอนรูปแบบสองภาษาระบาดไปแม้กระทั่งครูสอนวิชาภาษาไทยที่พยายามจะนำภาษาอังกฤษเข้าไปบูรณาการด้วย มันเป็นความพยายามที่ดีแต่...
                   รองผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการ อาจารย์ทวีศักดิ์ ชัยเฉลียว ที่เริ่มปรามว่า
                “เอาแค่ภาษาไทยอย่างเดียวให้เจ๋ง ๆ ไปเลยก็พอมั้ง คงไม่ถึงกับสอนภาษาไทยด้วยภาษาอังกฤษหรอกกระมัง !!!!!
                การมาเยือนของอาเซี่ยนจึงรุนแรงราวคลื่นสึนามิ
                การประชุมยุติลงก็ใกล้เวลาเย็นที่ต้องเปลี่ยนคำทักทาย เป็น Good evening ผมปั่นสองล้อกลับที่พัก เย็นนี้ทานข้าวในบ้าน จึงไม่มีรายการแนะนำอาหารตามร้านรวง และจะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้เลย
                อาหารที่บ้านต้องอร่อยที่สุดกว่าทุกที่อยู่แล้ว

                ตามแบบ สบาย ๆ สไตล์ด็อกเตอร์ยา

วันพฤหัสบดีที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ปั่นไปล่า-ดัก-จับ-กับอิสาน (Cycling to The Isan Hunters)




               วันนี้ผมตื่นแต่เช้าตรู่ แต่งตัวจับเจ้า MERIDA (จักรยานเสือภูเขา) คันเดิมออกสตาร์ทจากบ้านพัก หลังฟ้าสางได้ไม่นาน ทัศนวิสัยวันนี้แจ่มใส แดดยังซ่อนตัวหลังกลีบเมฆ สองล้อทะยานมุ่งสู่ถนนสาย 226 อันเป็นเส้นทางที่ใช้ประจำ ลำปลายมาศ – บุรีรัมย์

               
  "กลุ่มหมอกลอยตัวเต็มท้องถนนสายลำปลายมาศ-บุรีรัมย์  เวลา 07.12 น. 6 พฤศจิกายน 2557"

แต่ปั่นไปได้ประมาณ 1 กิโลเมตร ต้องเผชิญกับกลุ่มหมอกหนาเตอะดักรออยู่ข้างหน้า มวลไอหมอกลอยตัวนิ่งสนิทไม่รับรู้การเคลื่อนไหวใด ๆ ของยวดยานที่ผ่านไปมา ผมมองเห็นภาพข้างหน้าได้เพียงระยะ 50 เมตรไกลสุด รถยนต์บนถนนต้องเปิดไฟหน้าช่วยขยายทัศนียภาพ ส่วนผมต้องชะลอจอดข้างทางเพื่อเปิดไฟท้าย เพิ่มความปลอดภัยให้กับตนเองและความที่ต้องลดความเร็วลงทำให้การเคลื่อนตัวจึงเป็นไปแบบเนิบนาบ
              เป้าหมายของผมในเช้านี้คือ พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านหนองบัวโคก (Nongbuakok Folk Museam)  ซึ่งตั้งอยู่ริมถนนสายลำปลายมาศ – บุรีรัมย์ หลักกิโลเมตรที่ 21 นับจากอำเภอเมืองบุรีรัมย์ไปทางทิศตะวันตก พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านหนองบัวโคกเป็นพิพิธภัณฑ์ขนาดเล็ก เกิดจากการสะสมเครื่องมือเครื่องใช้ของชาวบ้านในท้องถิ่นโดยเฉพาะในเขตจังหวัดบุรีรัมย์เป็นส่วนมาก เพราะเชื่อว่าเครื่องมือเครื่องใช้ของชาวบ้านในสังคมชนบทกำลังลดบทบาทและจะหมดไปในที่สุด ซึ่งแต่เดิมเครื่องมือดังกล่าวเคยได้ใช้สอยในชีวิตประจำวัน ชาวบ้านได้รับประโยชน์เป็นอย่างยิ่ง ในอดีตถูกสร้างขึ้นมาจากมันสมองของสามัญชนที่เป็นชาวบ้าน โดยผ่านการทดสอบจนเป็นรูปแบบที่ลงตัวและใช้งานได้อย่างมีคุณภาพ อุปกรณ์ส่วนใหญ่จะทำจากวัสดุที่ผุพังง่าย ในอนาคตจะไม่มีการสร้างเพิ่มเติม เพราะขาดการสืบทอดองค์ความรู้จากบรรพบุรุษ


                                    

                                             "ปูนาชูกล้ามขอโอกาสได้ข้ามถนนบ้าง"

                ผมพาเจ้า MERIDA ฝ่ากลุ่มหมอกไปได้ประมาณ 3 กิโลเมตร มวลหมอกเริ่มบางเบาลง แต่ฟ้ายังหลัว เห็นเพียงเค้าลางของพระอาทิตย์เป็นวงกลมอยู่หลังกลุ่มเมฆทึมทึบ มองไปข้างหน้าเห็นถนนที่ทอดตัวยาวออกไปได้ชัดเจนเกือบปกติ อากาศยังเย็นสบาย ไร้แสงแดดสาดส่อง การปั่นของผมในวันนี้จึงยังทรงพลังไม่ออกอาการเหนื่อยเร็วเหมือนกับการฝ่าเปลวแดดเข้ม

                                     "สองฝั่งถนนเต็มไปด้วยข้าวสีทองรอการเก็บเกี่ยว"

             พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านฯ อยู่ไม่ไกลก็จะถึงแล้ว เหลืออีกสักประมาณห้าหกกิโลเมตรเท่านั้น ผมผ่านโค้งถนนมาได้ไม่นานก็เข้าเขตหมู่บ้านหนองบัวโคก หมู่บ้านแห่งนี้ก็เหมือนกับหมู่บ้านทั่ว ๆ ไปในภาคอีสาน ที่อดีตออกหาอาหารการกินโดยใช้เครื่องมือต่าง ๆ เช่น ใช้แหหว่านปลาตามห้วยหนองคลองบึง จับไก่ที่เลี้ยงไว้มาประกอบอาหารกินกันในครัวเรือน เป็นต้น การหาและการประกอบอาหารทำได้ในทันทีทันใด แต่ปัจจุบันกลับต้องใช้เวลาเดินทางไปซื้อหาจากตลาดที่อยู่ไกลครัวเรือน  ลักษณะที่เปลี่ยนแปลงไปเช่นนี้ ทำให้สิ่งของเครื่องใช้สำหรับหาอาหารในอดีตจำต้องลดบทบาทลงและค่อย ๆ สูญหายไปอย่างช้า ๆ
                ดังนั้น การนำเครื่องมือเครื่องใช้มาเก็บรักษาไว้ในที่เดียวกัน จึงเป็นการอนุรักษ์เพื่อประโยชน์ต่อการเรียนรู้ วิถีปัญญาของบรรพบุรุษในอดีต


                 ผมทำระยะทางมาได้เพียง 11 กิโลเมตรก็ถึงหน้าพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านหนองบัวโคก ระยะทางแค่นี้ ร่างกายผมยังอุ่น ๆ อยู่เลย มันเป็นระยะทางหนึ่งในสี่ที่ผมใช้ในการออกกำลังการแต่ละครั้ง ดังนั้นผมจึงขอผ่านไปเอาเหงื่อออกให้พอก่อนแล้วจะยูเทริ์นกลับมา
                ผมควบรถสองล้อกลับเมื่อทำระยะทางได้พอสมควร แสงแดดลากเงาให้ทอดตัวยาวไปข้างหน้า แดดยามเช้านี้เป็นสีทองฉาบทาผืนดิน มันทำมุมประมาณสามสิบองศากับแนวระนาบ เม็ดเหงื่อบนแผ่นหลังของผมผุดพรายจนชุ่มเสื้อเจอร์ซี (Jersey)  เมื่อมาถึงหน้าพิพิธภัณฑ์อีกครั้ง ผมได้จอดรถจักรยานไว้ที่หน้าประตู สายตาเหลือบแลเห็นสตรีวัยกลางคนกำลังง่วนอยู่กับการทำความสะอาดและตกแต่งบริเวณหน้าพิพิธภัณฑ์อยู่เพียงลำพัง



                            
                                                           "คุณแม่รำพึง วรธงไชย"

                   “คุณแม่รำพึง วรธงไชย” วัยห้าสิบกว่า คือผู้หญิงคนนั้น ท่านเป็นเจ้าของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้
                    “คนริเริ่มคืออาจารย์ทำนุ วรธงไชย” คุณแม่เริ่มเล่าถึงที่มา
                “ปัจจุบันอาจารย์เสียชีวิตไปสองปีแล้ว...ท่านเป็นคนขยัน เอาจริงเอาจัง รักการสะสมงานพื้นบ้านและก็ทำเพื่อสอนลูกหลาน” คุณแม่ขยายความไปถึงจุดประสงค์ของสามี
                อาจารย์ทำนุ วรธงไชย เดิมเป็นคนจังหวัดนครราชสีมา จบการศึกษาระดับมหาบัณฑิตไทยคดีศึกษา (เน้นมนุษย์) จากมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒมหาสารคาม รับราชการเป็นอาจารย์ในโปรแกรมทัศนศิลป์ คณะมนุษย์ศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ตำแหน่งผู้ช่วยศาสตราจารย์ แต่งงานกับคุณแม่รำพึง วรธงไชย มีบุตรด้วยกันสองคน
                          

                                   
                                                             "ผศ. ทำนุ วรธงไชย"

                  “พอพ่อเสียก็ได้ลูกชายมาช่วยสานต่องาน” คุณแม่รำพึงกล่าวถึงการทำกิจการของครอบครัว
                “สิ่งที่ดำเนินการอยู่ก็คือ การทำหน้าที่เป็นแหล่งเรียนรู้ให้กับนักเรียน นักศึกษามาดูงาน ก็มีจำหน่ายสิ่งของบ้าง ก็มีกระถางต้นไม้ หม้อปั้นดินเผา ของที่ระลึกและก็ต้นไม้บ้างเล็กน้อย” คุณแม่รำพึงพูดพลางทำงานไปพลาง
                “ก็อาจารย์เค้าสั่งไว้ก่อนเสียว่าให้พาลูกสานต่อ นี่ก็จะขายนาสักทุ่งมาสร้างอาคารเก็บงานอาจารย์ งานของอาจารย์ยังไม่ได้นำออกมาแสดงเลย ยังเก็บไว้อยู่” คุณแม่เล่าถึงโครงการในอนาคต
                ผมขอตัวคุณแม่รำพึง ไปเดินชมพิพิธภัณฑ์ที่จัดสิ่งของไว้ให้ผู้เข้าชมได้ชมตามอาคารต่าง ๆ ซึ่งอยู่ถัดจากที่เราคุยกันไปเล็กน้อย บริเวณพิพิธภัณฑ์มีบรรยากาศร่มรื่นด้วยร่มเงาของต้นไม้ อาคารที่ปลูกไว้เพื่อแสดงผลงานจัดไว้ได้อย่างเป็นสัดส่วน มีความลงตัวในความเป็นศิลปะ ภายในอาคารจัดแสดงเครื่องมือเครื่องใช้ในการทำมาหากินของคนชนบทที่ปัจจุบันหาดูไม่ได้แล้ว เป็นต้นว่า
                เครื่องมือล่า เช่น ปืนแก๊บ หน้าไม้ ปืนยาง หนังสะติ๊ก
                เครื่องมือดัก เช่น กับลวด  กับยาง แร้วคอม้า จั่นหนู ซิงกระต่าย
                เครื่องจับ เช่น แห เสียม สุ่ม สุ่มปลาดุก
                                                          ฯ ล ฯ เป็นต้น


                             "เครื่องมือล่า ดับ จับสัตว์บางส่วนที่นำมาแสดงในพิพิธภัณฑ์"

                นอกจากนี้ คุณแม่รำพึง ยังได้นำผลงานทางวิชาการที่อาจารย์ทำนุได้เขียนขึ้นเพื่อเป็นวิทยาทานมาให้ผมได้ศึกษาหลายเล่ม เล่มหนึ่งที่อาจารย์ทำนุเขียนขึ้นเพื่ออธิบายงานในพิพิธภัณฑ์ของอาจารย์คือ
                “ล่า ดัก จับกับอีสาน” จัดพิมพ์โดยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินทร (องค์การมหาชน) เมื่อปี พ.ศ. 2551 เป็นหนังสือที่รวบรวมเอาเครื่องมือเครื่องใช้ที่คนอีสานให้ในการดำรงชีวิตมาแต่โบราณกาลที่ปัจจุบันไม่มีให้ดูแล้ว
เป็นหนังสือที่ให้ความรู้ดีน่าสนใจมาก
                ในระยะเวลาที่ผ่านมามีนักเรียน นักศึกษาและประชาชนได้แวะเวียนไปชมพิพิธฑภัณฑ์เป็นจำนวนมาก รวมทั้งรายการทีวีได้ไปถ่ายทำเป็นสารคดีเพื่อเผยแพร่ทางโทรทัศน์หลายช่องด้วยกัน
                เนาวรัตน์ พงศ์ไพบูลย์ กวีซีไรต์หนึ่งในผู้ไปเยี่ยมชม ได้เขียนบทกวีฝากไว้ว่า
                                ศิลปะ ปรากฏที่กลางใจ
                                ศิลปะ เป็นใหญ่อย่างเป็นอยู่
                                ศิลปะ จากใจสู่ใจรู้
                                ศิลปะ เชิดชู ความเป็นคน


                                                       "บรรยากาศภายในพิพธภัณฑ์"

                ผมเพลินอยู่จนแดดกล้าเข้ามาทักว่าสายพอสมควรแล้ว จึงขอลาคุณแม่รำพึง วรธงไชยกลับลำปลายมาศ โดยใช้เส้นทางเดิม
                          

                
                                                  "ขนมจีนนำ้ยาปลาอาหารมื้อเที่ยง"

                 กลับถึงบ้านวันนี้ มีอาหารไว้รอมื้อเที่ยง เป็นรูปแบบ “สบาย ๆ สไตล์ด็อกเตอร์ยา” คือขนมจีนน้ำยาปลาเน้นผักเป็นส่วนใหญ่ ตามด้วยกล้วยไข่อีกสองลูก สำหรับขนมจีนหาทานได้ง่ายในลำปลายมาศ แต่ที่ผมทานประจำเพราะอร่อยมากคือ เจ้าที่ขายในตลาดสดลำปลามาศ มีโอกาสผ่านไปอย่าลืมถามหานะครับ
                                        

หมายเหตุ ข้อมูลบางส่วนได้มาจากเอกสารของอาจารย์ทำนุ วรธงไชยเขียนไว้เมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่