วันอาทิตย์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ครูที่หายไปจากโรงเรียน




                                                                                                                  สุริยา เผือกพันธ์ : เขียน



                    “กระบวนการเรียนรู้สำคัญกว่าความรู้ และครูมิใช่ผู้มอบความรู้ แต่เป็นผู้ออกแบบกระบวนการเรียนรู้ โดยเรียนรู้ไปพร้อม ๆ กันกับเด็กและเยาวชน” (นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์)


                เป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือนที่ผมรู้สึกได้ว่าวันนี้คือ วันอาทิตย์ มันเป็นวันหยุด วันผ่อนคลาย วันถ่ายถอนจากความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า และความซ้ำซากจำเจ แต่กระนั้นจิตใจก็มิได้เป็นเหมือนดั่งสนามหญ้าผืนใหญ่ที่โล่งเตียน ในมุมหนึ่งมันยังมีสิ่งหนึ่งที่เป็นความกังวลตกค้างอยู่ อีกสองวันข้างหน้าโรงเรียนจะเปิดทำการเรียนการสอน ครูผู้สอนบางรายวิชายังไม่มี !!

                วันนี้ผมต้องตามหาครู


                                               "ร้านหนังสือเป็นแหล่งรวมสรรพวิทยา"

                สถานที่ที่ผมหมายตาเอาไว้คือ ร้านขายหนังสือในเมือง ที่นั่นผมรู้จักร้านหนังสืออยู่หลายแห่ง แต่วันนี้จะต้องมีเป้าหมายที่แน่นอนชัดเจนคือ ไปยังร้านใดร้านหนึ่งเพียงร้านเดียวแล้วให้ได้ครูไปสอน ร้านที่ผมเล็งไว้ เป็นร้านที่นักอ่านหนังสือรู้จักกันดี ตั้งอยู่ในที่ที่ผู้คนพลุกพล่าน

                ใช่ !!  ในห้างสรรพสินค้า

                เหตุผลที่ร้านหนังสือมักไปปักหลักอยู่ที่นั่นเพราะ เป็นที่ชุมนุมผู้คนหลายรุ่น หลายวัย เป็นศูนย์รวมของสรรพสินค้าและบริการ มีทั้งศูนย์สินค้า ศูนย์อาหาร สถานบันเทิงและโรงเรียนสอนพิเศษต่าง ๆ


                                              "โรงเรียนสอนพิเศษในห้างสรรพสินค้า"

                ผมไปถึงร้านหนังสือแห่งนั้นในเวลาที่ห้างเปิดทำการหมาด ๆ ผู้คนเริ่มทยอยเข้าห้าง ดูคึกคักตั้งแต่เช้า เพราะวันหยุดเช่นนี้ คนมักจะหนีร้อนไปพักผ่อน สัมผัสอากาศเย็นจากแอร์คอนดิชั่นในห้างเป็นประจำ
                ผมผันตัวเข้าไปในร้านหนังสือนั้น  เดินเข้าไปไม่ถึงก้าวก็พบชั้นวางแนะนำหนังสือมาใหม่ เลยไปทางซ้ายมืออีกนิดเป็นแผงแม็กกาซีน มีหนังสือจำพวกนิตยสารชีวิต/สันทนาการ บ้านและสวน นิตยสารแฟชั่น/ไลฟ์สไตล์ ยาวไปทางขวามือบนแถบผนังเดียวกัน เป็นหนังสือจำพวกสอบรรจุ คู่มือสอบบรรจุและเข้าเรียนในสถาบันต่าง ๆ
                เลี้ยวมาทางด้านหน้าแผงแม็กกาซีน เป็นหนังสือจำพวกการ์ตูนสำหรับเด็ก นวนิยายโรแมนติก สุดชั้นวางเป็นนวนิยายสืบสวนลึกลับ ตรงข้ามขนานกันเป็นชั้นหนังสือจำพวก จิตวิทยา โหราศาสตร์ ศาสนา/ปรัชญา สายตาผมละเลียดไปบนแผ่นปกของหนังสือแต่ละเล่ม อ่านชื่อหนังสืออย่างพินิจพิเคราะห์
                ยังไม่เจอหนังสือที่ถูกใจ !!!!


                          "บนแผงหนังสือในร้านมีหนังสือนิตยสารหลากหลายให้เลือกอ่าน"

                ผมเดินขยับไปยังชั้นวางที่อยู่ลึกเข้าไปด้านใน พบหนังสือจำพวก สุขภาพ แม่และเด็ก อาหารและเครื่องดื่ม ท่องเที่ยวทั่วไทย ท่องเที่ยวต่างประเทศ คู่กันอีกชั้นวางเป็นหนังสือจำพวกหุ้น/การลงทุน และการพัฒนาตนเอง
                ผมยังใช้สายตาและเล็มสีสันและชื่อเรื่องบนแผ่นปก อย่างใจจดใจจ่อ แม้จะสดุดตาชื่อของวอร์เรน บัฟเฟตต์ สตีฟ จ็อบส์และไอน์สไตน์
                แต่ก็ยังไม่ใช่เป้าหมายที่ผมเสาะหา
                ผมเงยหน้าเหลือบสายตาไปจนสุดผนังห้องของร้านอีกด้านหนึ่ง  เพื่อขยายภาพในมุมกว้าง ผนังร้านฝั่งโน้นเป็นแผง Entertainment มีซีดีเพลงและภาพยนตร์ก็คงไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการ ผมลดสายตาลงมาในมุมใกล้ตัวอีกครั้งหนึ่ง ยังคงเหลืออีกชั้นวางก็จะหมดร้านแล้ว
                จึงก้าวขาขยับข้ามไปอีกด้านของชั้นวางหนังสือชุดสุดท้าย



                                                        "ชั้นวางหนังสือเทคโนโลยี"


                เทคโนโลยีสมาร์โฟน !!!!

                ใช่แล้ว เทคโนโลยี นี่แหละ คือสิ่งที่จะทำให้ผมได้ครูที่ขาดไปสอนนักเรียนในวันเปิดเทอมให้ได้
                ผมหยิบหนังสือเล่มหนึ่งที่มีชื่อกระตุ๊กจิตใต้สำนึกได้ดียิ่ง “จบปริญญาได้ ไม่ต้องไปเรียน? “ ผู้แต่งชื่อ อ.กฤษณ์ มกิลา

                ผู้เขียนกล่าวว่า ประตูไม่เคยลงกลอน ประตูที่ไม่เคยล็อก ประตูที่เปิดอยู่เสมอ คือ ประตูสู่การเรียนรู้ จากโลกกว้างที่เต็มไปด้วยความรู้และประสบการณ์ใหม่ ๆ ที่หลายคนไม่เคยก้าวไปสัมผัสกับความแปลกใหม่นอกตำราเรียน นอกรั้วโรงเรียนและมหาวิทยาลัย การศึกษาแบบอิสระเสรีที่สามารถเลือกได้ตามใจ ถือเป็นการศึกษาอีกรูปแบบหนึ่งที่เราเคยศึกษาค้นคว้าและวิจัยอย่างอิสระด้วยตนเอง นอกเหนือจากการเรียนในชั้นเรียนตามหลักสูตรปกติหรือหลักสูตรภาคบังคับของสถานศึกษา ตามเกณฑ์ของกระทรวงศึกษาธิการอันเป็นแม่บทของการศึกษาไทย

                ครูไม่ครบชั้น ครบวิชา เป็นปัญหาถาวรของโรงเรียนขนาดเล็กในประเทศไทย โรงเรียนที่ผมบริหารอยู่ก็เช่นกัน เมื่อหลังพิงฝา ผมต้องเปลี่ยนรูปแบบการสอนเพื่อให้เด็กไม่เสียโอกาส
และรูปแบบนั้นคือ E-Learning

E-Learning คือ การเรียนรู้ด้วยสื่อดิจิตอล ซึ่งเป็นการเรียนรู้ที่ทันสมัยที่สุดในปัจจุบัน โดยเฉพาะเมื่อเมื่อนำสื่อดิจิตอลดังกล่าวอัพโหลดเข้าสู่ระบบปฏิบัติการเครือข่ายไร้พรมแดนอย่างอินเตอร์เน็ต ยิ่งทำให้สื่อการเรียนรู้ในปัจจุบันได้มาเพียง   ”ลัดนิ้วมือ” เราอยากเรียนแบบไหน เราอยากรู้อะไร มันกลายเป็นเรื่องง่ายกว่าการที่จะหาถุงกล้วยแขกมาอ่านเสียอีก



                                          "ห้องเรียน E-Learning ในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง"

และที่นี่คือ http://www.kanzuksa.com เป็นเว็บไซด์ที่ให้บริการด้านการศึกษาแก่ประชาชนทุกระดับชั้น ตั้งแต่ประถม-มัธยม นักศึกษามหาวิทยาลัย หนุ่มสาวออฟฟิศ ผู้ปกครองและประชาชนทั่วไป ซึ่งหลักสูตรการศึกษาที่สามารถสมัครเรียนฟรีได้ก็คือ ระดับประถมศึกษา (ป.1 – ป. 6) ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น (ม. 1 – ม. 3) และระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย (ม. 4 – . 6)

“เว็บไซด์การศึกษาดอตคอม เป็นเว็บไซด์ E-Learning ที่สมบูรณ์แบบแห่งแรกและแห่งเดียวในประเทศไทย ได้รวบรวมหลักสูตรการเรียนการสอนกวดวิชา เฉลยข้อสอบเอเน็ต เฉลยข้อสอบโอเน็ต รวมทั้งเป็นแหล่งรวบรวมข้อมูลสำคัญ ๆ ด้านการศึกษาอีกด้วยที่จะช่วยให้เด็กไทยได้รับความรู้ตลอดเวลาและประหยัดค่าใช้จ่ายทดลอง “เรียนฟรี” ได้แล้ววันนี้กับเว็บไซด์เพื่อการศึกษา การศึกษาดอตคอม” นี่คือคำประกาศของเว็บไซด์ดังกล่าวบนโลกไซเบอร์



                                                    "หนังสือเป็นสีสันของจิตนาการมนุษย์"
                                       
ผมซื้อหนังสือเล่มนี้กลับบ้านด้วยความลิงโลด

 “ความรู้ คือ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราไม่เคยพบเห็นและไม่เคยเข้าใจสิ่งนั้นมาก่อน เช่นนั้น หลายสิ่งหลายอย่างที่อยู่นอกตำราเรียน โรงเรียน สิ่งที่ทำอยู่เป็นประจำและอะไรต่อมิอะไรที่เราเคยรู้ ก็ยังคงเป็นความรู้ใหม่ ๆ ที่เราต้องทำความเข้าใจอยู่ตลอดเวลาและแน่นอนว่า “ความรู้” ย่อมจะไม่มีวันหมดสิ้น เว้นแต่เราจะแสวงหาเพื่อให้ได้ความรู้นั้นมาหรือไม่” อ.กฤษณ์ มกิลาผู้เขียนกล่าว

แน่นอนที่สุด เป้าหมายสูงสุดที่ผมต้องการไม่ใช่อยู่ที่วิชาความรู้ในวิชาที่ผมจะสอนเท่านั้น หากหลังจากนั้น ทักษะการเรียนรู้ต่างหากที่มีค่ายิ่งสำหรับนักเรียนทุกคนที่จะมีติดตัวไปหลังจบการศึกษา

เพราะพวกเขาสามารถจบปริญญาได้โดยไม่ต้องไปเรียน
               

                

วันพฤหัสบดีที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2558

สิ่งที่ครูอยากให้นักเรียนในวันครูแห่งชาติ



จงรักในที่ที่เราเกลียดชัง เยียวยาในที่เจ็บปวด สามัคคีในที่มีความบาดหมาง ให้แสงสว่างในที่ที่มีความมืดมิด ให้ความหวังในที่ที่หมดความหวัง ให้สันติภาพในที่ที่มีความบาดหมาง”


            สิบหกนาฬิกาวันนี้ ผมได้รับเชิญจาก ผอ. บุญเชิด โพธิ์หมื่นทิพย์ให้ไปตอบคำถามนักเรียนที่เรียกกันว่า “กัปตัน” ที่ห้องประชุมอาคารธุรการ ที่นั่นมีกลุ่มนักเรียนประมาณ 10 คนนั่งรอบโต๊ะประชุมและมีผอ. สำนาน ไชยโคตร รวมอยู่ด้วย
                ผมยินดีในคำถามของเด็ก ๆ ทุกคน มันเป็นกุศโลบายให้เด็ก ๆ รู้จักคิด รู้จักสงสัย รู้จักอย่างรู้อยากเห็น สิ่งเหล่านี้พวกเขาเคยปฏิบัติมาแล้วในวัยที่พอจะพูดอ้อมแอ้มได้เป็นประโยค ความอยากรู้อยากเห็นเป็นธรรมชาติของมนุษย์ แต่ทำไมเมื่อเด็ก ๆ โตขึ้นมาจนใช้ชีวิตอยู่ในระบบโรงเรียน คุณสมบัติเหล่านี้จึงหายไปจากเด็ก ๆ ของพวกเรา แทนที่จะตั้งคำถามให้มากขึ้นกว่าเดิม
                การพูดคุยจบลงด้วยเนื้อหาสาระเกี่ยวกับเป้าประสงค์ของการเรียนการสอนในโรงเรียนของเรา ธุรกิจคือ คำที่พวกเราพูดวนไปวนมา แต่มันเป็นคำตอบมากกว่าคำถาม คำถามของคนเราเกิดมากจากแรงบันดาลใจ เรามีแรงบันดาลใจอะไร เราก็จะมีคำถามในเรื่องนั้น ๆ มาก  การถามมาก ๆ เพื่อให้รู้คำตอบก็คือการค้นคว้าวิจัย การเรียนรู้ที่ดีจึงสำคัญที่การรู้จักตั้งคำถาม


                             "ผู้นำนักเรียนสัมภาษณ์ผู้อำนวยการถึงแรงจูงใจที่อยากมาบริหารที่นี่"

                มีสิ่งหนึ่งที่สร้างแรงบันดาลใจให้คนอยากรู้อยากเรียนมากขึ้นก็คือ หนังสือ ผมกลับมาถึงบ้านจึงหยิบหนังสือขึ้นมาเขียนแนะนำนักเรียนเพื่อให้คนที่อ่านมีแรงบันดาลใจตั้งคำถามเกี่ยวกับธุรกิจ
                ย้อนเวลาไปในช่วงของการเฉลิมฉลองและการกล่าวคำอวยพร คำอวยพรที่คนให้กันมากคือ ขอให้มีความสุขและร่ำรวยเงินทอง ไม่มีใครอวยพรให้ใครต่อใครเสียสละให้มากขึ้น แต่ในเทศกาลแห่งการอวยพรให้กันนี้ มีสิ่งหนึ่งที่คนไทยนิยมทำกันโดยไม่ต้องรอใครบอกคือ การถือโอกาสทำบุญทำกุศลกันตามวัด ตามโรงเรียนและสาธารณะสถานต่าง ๆ ซึ่งเป็นการเสียสละกันเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ตนและครอบครัว
                สิ่งหนึ่งที่ทุกคนรู้สึกเหมือนกันเวลาไปทำบุญคือ แรงปรารถนามีมากแต่แรงทรัพย์มีไม่ถึงที่อยากจะเสียสละให้เท่าที่คิดอยากทำ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเรายังมีไม่มากพอเท่าที่อยากจะเสียสละ
                ในเรื่องการเสียสละนี้ ไปพบบุคคลที่เป็นมหาเศรษฐีระดับโลกเขามีทัศนคติเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้อย่างน่าสนใจมาก ๆ จากหนังสือชื่อ ถึงเวลาท้าทายสมอง (Brain Challenge) แต่งโดยหนูดี ดร.วนิษา เรช ที่คิดทำธุรกิจเพราะมีแรงบันดาลใจอยากช่วยสังคมแต่ไม่มีทุนทรัพย์มากเท่าที่อยากทำ
                ครั้งหนึ่ง ดร.หนูดีกล่าวว่า “ถึงจุดหนึ่งซึ่งความอดทนในการเขียนขอทุนและถูกปฏิเสธไปเรื่อย ๆ คงใกล้หมด หนึ่งในรุ่นพี่สองคนก็พูดขึ้นมาว่า ทำงานนี้ให้เป็นธุรกิจกันเถอะ ซึ่งอีกคนหนึ่งก็เถียงกันขึ้นมาทันทีว่า แต่เราสองคนไม่อยากเป็นนักธุรกิจไง เราตกลงกันแล้วว่า เราจะทำงานนี้เพื่อช่วยเหลือสังคม” นี่เป็นข้อหารือของรุ่นพี่ที่เรียนด้านวิจัยในสถาบันเดียวกันหารือกัน
                จากนั้นมาก็เกิดออฟฟิศเล็ก ๆ ในโรงรถเก่ากับพนักงานห้าคน ภายในปีเดียวก็เข้าสู่รูปแบบการทำเป็นธุรกิจใช้การตลาด การประชาสัมพันธ์เข้ามาช่วยจับผลิตภัณฑ์และใช้วิธีการขายไปเลย โดยไม่ต้องขอเงินทุนมาสนับสนุนการแจกฟรี เขาสามารถเพิ่มพนักงานเป็น 112 คนและมีเงินพอไปเช่าออฟฟิศที่ตึกระฟ้าใจกลางมหานครนิวยอร์ค มองเห็นอ่าวกว้าง เพื่อรองรอบการเจริญเติบโต
                สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเพียงแต่เปลี่ยนมุมคิดจากเดิมว่า การทำธุรกิจไม่ใช่โลกของการเอารัดเอาเปรียบ การชิงไหวชิงพริบ การเอามาให้ได้มากกว่าสิ่งที่เราให้ไป การละโมบโลภมาก คิดอะไรเป็นเงินเป็นทองไปหมด แต่จริง ๆ แล้ว โครงสร้างทางธุรกิจที่แข็งแกร่งกลับทำให้ความฝัน ความหวัง ความตั้งใจที่เราอยากจะช่วยเหลือคนอื่นเป็นจริงขึ้นมาได้ โดยไม่ต้องไปหวังพึ่งพาเงินทองจากการขอทุน
                จากนั้นเครื่องมือดิจิตัลของรุ่นพี่ทั้งสองขายดีเป็นเทน้ำเทท่า แม้ราคาจะไม่ถูกเลยแต่คนเต็มใจซื้อ


                                    "แรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่อาจเกิดจากถ้อยคำไม่กี่ประโยค"

                สำหรับคนที่รวยระดับโลกเขาคิดอย่างไรกับการเสียสละ ดร.หนูดี กล่าวว่า วอร์เรน บัฟเฟต เจ้าพ่อหุ้นรวยอันดับหนึ่งของโลก ได้จัดทำคำปฏิญาณเพื่อสาธารณประโยชน์มีข้อความว่า ในปี พ.ศ. 2549 ผมได้ตัดสินใจยกสินทรัพย์ทั้งหมดของบริษัทเบิรฺคเชอร์ แฮทธะเวย์ของผมให้กับมูลนิธิที่ไม่แสวงหาผลกำไร ผมไม่สามารถมีความสุขไปกว่านี้ได้ สำหรับการตัดสินใจครั้งนี้และในเวลานี้ บิลและเมลินดา เกตส์และผมก็กำลังขอให้คนอเมริกันที่มั่งคั่งกันอีกหลายร้อยคนเขียนคำมั่นจะยกสินทรัพย์อย่างน้อย 50% ของพวกเขาให้การกุศล ดังนั้น ตอนนี้ ผมจึงเห็นว่า มันสำคัญที่ผมจะกล่าวย้ำและอธิบายว่า ความคิดอะไรอยู่เบื้องหลังของการกระทำของผมในครั้งนี้ อันดับแรก คือ 99% ของความมั่งคั่งของผมจะถูกบริจาคให้การกุศลภายในเวลาที่ผมยังมีชีวิตอยู่หรือเมื่อผมตายไปแล้ว ถ้าหากนับกันเป็นดอลล่าร์ คำมั่นสัญญานี้ก็เป็นเงินมากอยู่
                แต่หากเปรียบเทียบกันตามอัตราส่วนจริง ๆ ผมว่าคนธรรมดาจำนวนมากในสังคมของเรามอบหั้คนอื่นกว่านี้ทุก ๆ วัน คนเป็นล้าน ๆ คนมอบเงินให้โบสถ์ ให้โรงเรียน ให้มูลนิธิ โดยเงินก้อนนี้ก็ต้องนำมาจากเงินที่จะใช้จ่ายในครอบครัวของตัวเอง เงินที่พวกเขาให้ไป หมายถึง การไม่ได้ดูหนัง การงดไปรับประทานอาหารนอกบ้านบางมื้อ การงดซื้อของที่อยากได้บางชิ้น ในทางตรงกันข้าม ครอบครัวของผมไม่ต้องงดสิ่งใดเลยในการให้ถึง 99% ของทรัพย์สินที่เรามีอยู่ ที่สำคัญคำมั่นสัญญาแห่งการให้ครั้งนี้ ผมไม่ได้ให้ ในสิ่งที่สำคัญที่สุดของผมสิ่งนั้นคือ “เวลา”
                คนจำนวนมาก รวมถึงลูกทั้งสามคนของผม ซึ่งผมพูดด้วยความภาคภูมิใจว่า ได้ให้ทั้งเวลาและความสามารถของตนเองในการช่วยเหลือผู้อื่น


                                                       
                คนจำนวนหนึ่งถูกสอนมาว่าการหาเงินเป็นความโลภอย่างหนึ่ง จึงทำให้แรงจูงใจในการหาเงินถูกลดทอนไปมาก ซึ่งคนจำนวนดังกล่าวนั้นมีชีวิตสะดวกสบายอยู่ได้ ส่วนหนึ่งก็เพราะมีเงินใช้จ่าย เมื่อถึงเวลาจะเสียสละด้วยทุนทรัพย์จึงเสียสละได้ไม่มากเท่ากับที่ตนอยากจะเสียสละหรือเท่ากับคนที่หาเงินได้เยอะ ๆ
                การปฏิญาณตนเพื่อการบริจาคของ วอร์เรน บัฟเฟต จึงเป็นการประกาศให้ทุกคนได้เห็นว่า ส่วนเกินของชีวิตควรอุทิศให้สังคมนั้นมีอยู่จริง
                หนังสือเล่มนี้น่าอ่าน พิมพ์ครั้งที่ 2 ตุลาคม 2557 จัดพิมพ์โดยบริษัทสมองดีกับหนูดีจำกัด จำนวน168 หน้า ที่คัดมานี้ เป็นตัวอย่างบางตอน ส่วนที่เหลือล้วนแต่หน้าสนใจให้ความคิดใหม่ด้วยกันทั้งสิ้น


                จึงมอบสิ่งดีๆนี้ เพื่อเป็นของขวัญในวันครูแห่งชาติปี 2558  แก่ทุก ๆ ท่านครับ

วันพุธที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2558

ถนนสายกรอกแกรก



                ข่าวการมาของผม ทำให้ครูไชยวัฒน์ งามจิตร ครูฝ่ายปกครองออกมาดักรอผมที่หน้าอาคารธุรการในเช้าวันที่อากาศหนาวเหน็บ เราเดินไปตามถนนเข้าสู่อาคารเรียน โดยเริ่มจากห้องเรียนชั้น ม. 1 เรื่อยไปตามลำดับจนถึงชั้นม.6 จากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง ผ่านถนนในโรงเรียนที่โรยด้วยหินกรวด นักเรียนเคยอธิบายให้ผมฟังว่า ถนนสายนี้มีความหมายว่า “ความลับไม่มีในโลก” เสียงฝีเท้าที่ย่ำลงไปบนถนนเสียงดังกรอกแกรก เป็นการเตือนว่า ความลับไม่มีในโลก แม้ขณะที่คนอื่นไม่ได้ยินเสียง แต่เจ้าของฝีเท้าย่อมได้ยินเสียงของตนเองแม้ก้าวเดินตามลำพัง



                                       "ถนนสายกรอกแกรกที่บอกเตือนความลับไม่มีในโลก"

                วันนี้ถนนทุกสายคึกคักไปด้วยผู้คนที่ออกมาบอกความลับของตนเอง ด้วยการ Introduce myself
                Mr. Aka Hata อดีตเจ้าหน้าที่สายการบินเจแปนแอร์ไลน์ (Japan Airline) วัย 73 ปี เดินทางมาจากประเทศญี่ปุ่น อาสาสอนภาษาญี่ปุ่นให้กับนักเรียน
               “ผมมาที่นี่สองครั้งแล้ว สุขภาพยังแข็งแรง ผมชอบกีฬาไต่เขา “ มิสเตอร์อากะ ฮาต้ากล่าวอย่างอารมณ์แจ่มใส พลางเอามือไปคลึงที่หน้าอกตนเอง แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่ง
                ในเวลาไล่กันครูชาวญี่ปุ่นและกัมพูชา เข้ามาแนะนำตัวว่าจะเข้าสอนภาษาอังกฤษให้กับนักเรียนในระดับชั้นม.ต้น “พวกผมมากับทีมงานสอนภาษาอังกฤษสายฟ้าแลบครูชาวญี่ปุ่นกล่าว
                 และเมื่อทุกคนไปรวมตัวกันที่โรงอาหารในเวลาเที่ยงยี่สิบนาที จึงรู้ว่าที่โรงเรียนเป็นที่ชุมนุมชาวต่างประเทศที่มาทำหน้าที่อาสาสมัครสอนภาษาอังกฤษให้กับนักเรียนในโรงเรียนและเครือข่ายโรงเรียนขนาดเล็ก ชาวต่างประเทศดังกล่าว อาทิเช่น อังกฤษ เนเธอร์แลนด์ มาเลเซีย กัมพูชา สิงคโปร์ จีนและญี่ปุ่น เป็นต้น
                  การแนะนำตนเองของแต่ละคนเป็นไปอย่างคึกคัก เป็นบรรยากาศของการรู้จักกันครั้งแรก ทุกคนใช้ภาษาอังกฤษสำเนียงเหน่อตามชาติพันธุ์ของตนเอง อาหารเที่ยงวันนี้จึงเหมือนเป็นการเลี่ยงต้อนรับกันและกัน ด้วยขนมจีนน้ำยา ข้าวสวย แกงกะทิ หน่อไม้ต้ม น้ำพริกกะปิ และแตงแคลตาลูป
                  อีกฟากหนึ่งของโรงอาหารเป็นกลุ่มนักเรียน พร้อมใจกันกล่าวคำขอบคุณ ข้าวปลาอาหารที่ให้ความอิ่มหนำในมื้อนั้น
                  ทุกคนมีถาดหลุมเป็นภาชนะใส่อาหาร มันเป็นความเสมอภาคด้านโภชนาการ

                  หลังอาหารเที่ยงมื้อนี้ครูเชลล์ (ครูพงศกร จะโรจน์รัมย์) มากระซิบบอกให้ผมเตรียมแนะนำตนเองกับนักเรียนในที่ประชุมสโมสร
                  ผมแนะนำตนเองกับนักเรียนครั้งแรกโดยใช้ภาษาอังกฤษสำเนียงไทย นักเรียนเงียบตั้งใจฟัง ผมเชื่อว่าทุกคนพอจะรู้ในสิ่งที่ผมกล่าว เสียงปรบมือหลังการจบการแนะนำตัว ทำให้ผมมั่นใจว่านักเรียนเข้าใจและคุ้นเคยกับวัฒนธรรมของการเรียนรู้ในโรงเรียนแห่งนี้
                   เพราะไม่มีเสียวหัวเราะขบขัน


                                                        "นักเรียนผู้มาจากอีกฟากฝั่งของสะพานมังกร"

                   ก่อนหน้านี้มีผู้มากล่าวคำแนะนำตนเองในบทบาทของผู้อำนวยการโรงเรียนมาแล้วประมาณ 6 คน ในขณะที่อายุของโรงเรียนเจริญวัยได้เพียง 6 ขวบ นี่เป็นการบอกเป็นนัย ๆ ว่า มีการเปลี่ยนตัวผู้อำนวยการโรงเรียนบ่อยครั้ง
                  “การแนะนำตัวของผอ.วันนี้ เป็นการแนะนำในฐานะว่าที่ ผอ. ไม่ทราบว่าจะผ่านการทดลองงานหรือไม่ ฝากนักเรียนแนะนำผอ.ด้วยว่า การจะอยู่ทำงานได้นานทำอย่างไร” ผมพูดติดตลกให้ดูผ่อนคลาย
                  แต่จะว่าไปแล้ว นักเรียนโรงเรียนนี้เป็นส่วนหนึ่งของการคัดครูเข้าทำงาน
                “มันเป็นสิทธิของผู้บริโภคที่ควรจะบอกได้ว่า อาหารที่เขารับประทานมีรสชาดอย่างไร เขาพอใจหรือไม่” คุณวีระ ไวทยะ เคยกล่าวไว้
                ในช่วงท้ายของวันเวลา 16.30 น. คุณบุญเชิด โพธิ์หมื่นทิพย์ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาชนบท 6 นัดประชุมครูทั้งหมด หลังการแนะนำตัวว่าที่ครูใหม่ 2 คนและผู้อำนวยการโรงเรียนแล้ว พวกเราได้ลงมือศึกษาเส้นทางใหม่ของการศึกษาในชนบท โดยคุณบุญเชิด เป็นผู้บรรยายให้ฟัง ทำให้รู้ว่าจุดเน้นของโรงเรียนมี 6 ข้อคือ
             1.  สร้างคนดี
             2.  สร้างคนให้บริหารและจัดการเป็น
             3.  สามารถทำธุรกิจได้
             4.  ธุรกิจเลี้ยงตนเอง ครอบครัวและช่วยเหลือชุมชน
             5.  ให้คนชนบทสามารถมีชีวิตอยู่ในชนบทได้

                 นี่คือประเด็นหลักของการจัดการเรียนการสอนในโรงเรียน



                           "ด้านหลังผู้อำนวยการคือหัวสะพานมังกรท่าขนถ่ายอวิชา"


                  ผมเดินข้ามสะพานมังกรมาจากฝั่งที่มีดวงไฟสว่างไสวด้วยพลังโซล่าเซลล์ ซึ่งประดุจพลังแห่งการ
เรียนรู้ มันได้ส่องประกายกระจ่างใจมล ตลอดวันของวันนี้ผมได้เรียนรู้อะไรมากมาย
แต่ที่หัวสะพานฝั่งตะวันตกดูมันมืดมิดไร้แสงไฟ เท้าของผมก้าวพ้นแสงสว่างที่ส่องทางอยู่ด้านหลังมาได้ไม่นานก็เข้าสู่ความมืดของย่ำค่ำ  ผมต้องปั่นเจ้าสองล้อกลับบ้านอย่างระมัดระวัง เสมือนหนึ่งชีวิตที่ดำเนินในความมืดแห่งปัญญาเป็นอันตรายยิ่งนัก

                  พรุ่งนี้เช้าเสียงดังกรอกแกรกจะสะกิดเตือนซ้ำอีกครั้ง



                

วันอังคารที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2558

ความเป็นอื่น (Marginal People)



                ดอกชมพู่ห้อยระย้าลงมาจากก้านกิ่ง มองเห็นริ้วกลีบดอกสีขาวทิ้งตัวลงเป็นพู่ ดูราวกับโคมไฟฟ้าที่แขวนฝ้าเพดานประดับห้องหรูในคฤหาสน์อันโอ่อ่า ปฏิทินผลัดใบเปลี่ยน พ.ศ. ใหม่ไปไม่นาน ดอกผลสีชมพูเรื่อแดงผุดเป็นพวง ผิวของมันเคลือบมันวาววับ เนื้อในกรอบหวานอร่อย แต่กระนั้นเนื้อในบางผลยังมีตำหนิจากมวลแมลงที่ทิ้งไข่ไว้เป็นหนอนชอนไช...สุดท้ายร่วงหล่นลงเกลื่อนลานดิน การจบสิ้นของมันคือ ความตายที่กอดก่ายกับการเกิดของพันธุ์พฤกษ์ที่เป็นอื่น ดอกมะม่วงเริ่มแตกช่อชูสลอน ราวกับมีใครไปบรรจงแต่งให้การเกิดของมันมาทดแทนสิ่งที่ขาดหาย


                                    "วันแรกที่ปั่นรถจักรยานไปทำงานที่โรงเรียนมีชัยพัฒนา"

                ผมเปลี่ยนที่ทำงานไปที่โรงเรียนมีชัยพัฒนา อำเภอลำปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์ วันนี้เป็นวันที่ผมเข้าไปสังเกตสถานที่และผู้คนในสถานที่ทำงานใหม่ คุณบุญเชิด โพธิ์หมื่นทิพย์ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาชนบท 6 สมาคมพัฒนาประชากรและชุมชนอยู่ระหว่างการจัดประชุมเจ้าหน้าที่ศูนย์ ฯ ทั่วภาคอีสาน ส่วนครูรอการกลับมารายงานตัวเข้าหอพักของนักเรียนหลังการเปิดเรียนภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2557
                “เค้ามาอยู่ที่นี่...เป็นผู้ใหญ่ขึ้น รับผิดชอบอะไรบางอย่างเองได้ อยู่กับพ่อแม่ก็เล่นเป็นเด็ก ๆ อยู่ที่นี่ต้องช่วยตัวเอง ดีค่ะ...แรก ๆ ก็คิดถึง แต่นานไปก็พออยู่ได้” ผู้ปกครองนักเรียนจากอำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา พูดถึงลูกสาวสองคนที่ไปเรียนที่นั่น คนโตเรียนชั้น ม. 4 ส่วนคนเล็กเรียนชั้น ม. 1
                “ยังมีคนเล็กอีกคนตอนนี้อยู่ป.6 ก็เตรียม ๆ ไว้อยู่ อยากให้มาอยู่กับพี่” ผู้ปกครองคนเดิมกล่าว
                ต่อคำถามที่ว่าปิดภาคเรียน 12 วันไปทำอะไร
                “ก็ทำการบ้าน เล่นกับพี่น้อง ช่วยพ่อแม่ทำงาน” นพณัฐ สนเท่ห์ นักเรียนชั้น ม. 4 ผู้พี่ตอบ ส่วน   ชนเนษฏ์ สนเท่ห์ นักเรียนชั้น ม. 1 ผู้น้องให้คำตอบไม่แตกต่างกัน
                “ช่วยน้าทำงาน ช่วยตายายทำขนมขายที่ตลาด ทำการบ้าน”
                “โชคดีหลายที่ลูกได้มาอยู่ที่นี่” ผู้ปกครองนักเรียนอีกคนจากจังหวัดอุบลราชธานี เพิ่งเดินทางมาถึงกล่าว

 

                                        "ผู้ปกครองนักเรียนนำนักเรียนมารายงานตัวเข้าหอพัก"

                ไม่ไกลออกไปครูพงศกร จะโรจน์รัมย์ ครูอาวุโสที่สุดในโรงเรียนได้ให้การต้อนรับและอธิบายถึงชีวิตงานของครูและนักเรียนในโรงเรียน
                ไม่เพียงแค่นั้นในวันนี้ ยังได้ทราบถึงกิจกรรมของโรงเรียนที่ได้ทำร่วมกับกลุ่มเยาวชนในพื้นที่ในนามเครือข่ายองค์การบริหารหมู่บ้าน (อบม.) เยาวชนตำบลโคกกลางอีกด้วย
                ตามผนังอาคารเรียนมีการตกแต่งด้วยกระดานบอร์ดประกาศแจ้งข้อมูลข่าวสารและสิ่งที่น่าสนใจ เช่น กระดานบอร์ดของอาคารหนึ่งประชาสัมพันธ์ข่าวการเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยของนักเรียนชั้น ม. 6 รุ่นแรก
                ผมเลยไปพบกลุ่มเพื่อนครูอีกกลุ่มที่ทำงานธุรการ ครูที่อยู่ในห้องนั้นมีภูมิลำเนาอยู่ต่างจังหวัดและต่างภาคทั้งสิ้น เช่น ปทุมธานี น่านและภาคใต้ เป็นต้น การไปโรงเรียนของผมในวันนี้...เป็นการเข้าไปเพื่อทำความรู้จัก ทำความคุ้นเคยกับผู้คน สถานที่และสิ่งแวดล้อมเป็นจุดประสงค์หลัก

                       
               
                "กระดานบอร์ดประชาสัมพันธ์ผลงานนักเรียนที่สามารถไปเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย"

                 การเต็ดเตร่ของผมในวันนี้ จึงเหมือนมดที่ไต่อยู่บนหลังช้าง ประสบการณ์ของผู้คนและงานในโรงเรียนเป็นเหมือนดั่งคชสาร มดตัวน้อยต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะเรียนรู้ได้หมด
                บริเวณรอบ ๆ อาคารรียนนั้น ทุกตารางนิ้วของพื้นที่ได้รับการพัฒนาให้เป็นแหล่งเรียนรู้ที่มีความหมาย แม้กรวดทรายที่โรยบนถนนก็มีความหมายว่า ความลับไม่มีในโลก เมื่อเท้าของใครที่ย่ำไปบนถนนอันขรุขระนั้น ย่อมเกิดเสียงดังกรอกแกรก แม้ไม่มีใครได้ยินแต่คนผู้นั้นย่อมได้ยินเสียงฝีเท้าตนเอง
                การเรียนรู้ของผมในวันนี้จบลงแบบเข้าใจคร่าว ๆ จบเพื่อการเรียนรู้ใหม่ในวันพรุ่ง ผมปั่นรถกลับที่พักในเวลาที่แสงแดดเอียงลงต่ำมากแล้ว
                กลับเพื่อไปที่เคหะสถาน ในที่ที่มีไม้ดอกผลสีชมพูเรื่อแดงผุดเป็นพวง ผิวของมันเคลือบมันวาววับ เนื้อในกรอบหวานอร่อย แต่กระนั้นเนื้อในบางผลยังมีตำหนิจากมวลแมลงที่ทิ้งไข่ไว้เป็นหนอนชอนไช...สุดท้ายร่วงหล่นลงเกลื่อนลานดิน
                การจบสิ้นของมันคือ ความตายที่กอดก่ายกับการเกิดของพันธุ์พฤกษ์ที่เป็นอื่น ดอกมะม่วงเริ่มแตกช่อชูสลอน ราวกับมีใครไปบรรจงแต่งให้การเกิดของมันมาทดแทนสิ่งที่ขาดหาย การทดแทนสิ่งที่ขาดหายไปในเส้นทางชีวิตของคนเรา จะสั้นหรือยาวในความหมายของมันมีค่าเท่ากัน ทั้งเกิดและตาย เพียงแต่ว่าระหว่างช่องว่างที่การเกิดและตายอยู่ห่างกัน เราจะทำให้มันมีความหมายต่อการยังชีวิตอยู่ของเราอย่างไรในห้วงเวลาดังกล่าว

               เพราะมันก็เพียงแค่ผลของความเป็นอื่น

วันจันทร์ที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2558

การศึกษาแบบตั๋วเที่ยวเดียว (One Way Ticket Education)




                รถไฟฟ้า BTS บ่ายหน้าฝ่าความมืดผ่านอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิไปทางด้านทิศเหนือของกรุงเทพมหานคร เมื่อมองไปยังด้านล่างกลุ่มแสงไฟสีแดงท้ายรถยนต์ที่วิ่งอัดแน่นกันบนถนนรอบอนุสาวรีย์เคลื่อนตัวไปอย่างเนิบนาบ ดูราวกับสายธารลาวาสีแดงฉานไหลลงจากปล่องภูเขาไฟแล้วปูลาดเป็นทาง ทอดยาวออกไปบนพื้นราบเบื้องล่าง ไกลออกไปสุดปลายทาง ถนนเรียวเล็กลงจนมองเห็นเป็นจุดอยู่ลิบลิบ

              เมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมานี้ ผมเดินทางมาจากจุดเริ่มต้นของการเดินทางด้วยรถฟ้า BTS ที่สถานีนานา สุขุมวิทซอย 11 เยื้องสถานีรถไฟฟ้าไปทางฝั่งตรงกันข้าม เป็นสุขุมวิทซอย 12 ที่นั่นเป็นสถานที่ตั้งสมาคมพัฒนาประชากรและชุมชนหรือมูลนิธิมีชัย วีระไวทยะ เรามีนัดกันที่ Cabbages & Condoms Restaurant, Thailand ซึ่งเป็นร้านอาหารและเครื่องดื่มที่ตั้งอยู่ในบริเวณนั้น
              เราในที่นี้คือ ผมและคุณมีชัย วีระไวทยะ
           “การศึกษาสอนคนให้ออกจากหมู่บ้านหรือไม่ก็ เมื่อจบมาแล้วก็ว่างงาน” คุณมีชัย กล่าวถึงปรากฏการณ์ของการจัดการศึกษาในระบบของประเทศไทย
                “โรงเรียนจึงจัดให้มีการสอนนักเรียนให้มีความรู้เชิงธุรกิจ และเป็นธุรกิจเพื่อสังคมด้วย” คุณมีชัย นำเสนอทางออกของปัญหา เหมือนเป็นการสรุปสั้น ๆ ไปในตัว ตามข้อจำกัดของเวลาที่มีระหว่างการสนทนา

                โรงเรียนตามที่คุณมีชัย วีระไวทยะอ้างถึงคือ โรงเรียนมีชัยพัฒนา



"บริเวณประตูทางเข้าโรงเรียนมีชัยพัฒนา.

                โรงเรียนมีชัยพัฒนา ตั้งอยู่ที่อำเภอลำปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์ เป็นโรงเรียนสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-6 อาคารเรียนทั้งหมดสร้างจากไม้ไผ่ที่มีรูปแบบอาคารเน้นความเป็นธรรมชาติ สร้างบรรยากาศและสิ่งแวดล้อมที่เหมาะกับการเรียนรู้ผ่อนคลาย โรงเรียนเปิดการเรียนการสอน เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2552 เป้าหมายสูงสุดของโรงเรียนคือ เป็นแหล่งเรียนรู้ตลอดชีวิตและเป็นศูนย์กลางในด้านการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของคนในชุมชน มุ่งสร้างคนรุ่นใหม่ให้เป็นคนดี มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์และมีจิตสาธารณะ รู้จักแบ่งปัน ปัจจุบันโรงเรียนได้ร่วมกับสถาบันอาศรมศิลป์ในหลักสูตรเตรียมบัณฑิตของหลักสูตรศิลปะศาสตร์บัณฑิต สาขาวิชาประกอบการสังคมที่มีจุดมุ่งหมายในการสร้างนักกิจการเพื่อสังคมให้แก่สังคมไทย
                เมื่อต้นเดือนกันยายน 2557 โครงการความร่วมมือระหว่างประเทศฟินแลนด์กับประเทศไทยเพื่อการปฏิรูปการศึกษาและการพัฒนาโรงเรียนในโครงการ “Project for Change” ได้ดำเนินการจัดเวทีสัมมนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเรื่องปัญหาและทางออกของการศึกษาไทย เส้นทางสู่การปฏิรูปการศึกษาไทย ร่วมกับนักการศึกษา ภาครัฐและภาคเอกชนในประเทศไทย โดยได้เชิญผู้เชี่ยวชาญทางการศึกษาจากประเทศฟินแลนด์ อาทิ ศาสตราจารย์เอโร โรโป (Prof.Eero Ropo) มาให้ความรู้และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ เกี่ยวกับการจัดระบบการศึกษาในประเทศฟินแลนด์ ที่ได้รับการยอมรับว่ามีมาตรฐานอยู่ในระดับที่ดีที่สุดของโลก ซึ่งได้รับความสนใจจากผู้เข้าร่วมประชุมเป็นอย่างมาก



                                                      "นักเรียนนำชมแปลงเกษตรแผนใหม่"

                ในการสัมมนาครั้งนี้ มีการนำเสนอกรณีศึกษา “โรงเรียนมีชัยพัฒนา” หรือ “โรงเรียนไม้ไผ่” ซึ่งเป็นโรงเรียนทางเลือกที่สมาคมพัฒนาประชากรและชุมชนและคุณมีชัย วีรไวทยะได้ร่วมกันจัดตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2552 ปรากฏว่า ศาสตราจารย์เอโร โรโป ได้ให้ความสนใจในแนวทางการจัดการศึกษาของโรงเรียนมีชัยพัฒนา เป็นอย่างมาก โดยภายหลังการสัมมนาได้เขียนอีเมล์มาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับโรงเรียนว่า เป็นตัวอย่างที่ยอดเยี่ยมด้านการปฏิรูปการศึกษา มีเป้าหมายทางการศึกษาที่เหมาะสมกับการสร้างคุณลักษณะที่พึงประสงค์ให้กับเด็กนักเรียนไทยและสังคมไทยในอนาคต ซึ่งสอดคล้องกับบริบทของสังคมโลกในปัจจุบัน กล่าวคือ มีเป้าหมายที่ว่าด้วยเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อมรอบตัว (ธรรมชาติ ประวัติศาสตร์ สังคมและวัฒนธรรม) รวมทั้งมีเป้าหมายในการปลูกฝังความเป็นพลเมืองที่ดีของประเทศให้กับเด็กนักเรียนด้วย ศาสตราจารย์เอโร โรโปรู้สึกประทับใจในกระบวนการเรียนการสอนที่ทำให้นักเรียนได้เรียนรู้วิธีการดำรงชีวิตที่ช่วยปกป้องและอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างสงบสุข เข้าใจประวัติศาสตร์ ความเป็นมาและเห็นคุณค่าทาง วัฒนธรรม รวมทั้งได้ฝึกการทำธุรกิจ โดยสอนให้นักเรียนเข้าใจในแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของตลาดโลกในยุคแห่งการแข่งขันแบบเสรีที่มีความพึงพอใจของลูกค้าเป็นหลักประกันความสำเร็จ แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องคำนึงถึงคุณค่าการดำเนินธุรกิจบนหลักความเสมอภาค ยุติธรรม เคารพธรรมชาติและไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมด้วย


                                            "โครงการอบรมภาษาอังกฤษหลักสูตรสายฟ้าแล็บ"

                การจัดการศึกษาทางเลือกของ “โรงเรียนมีชัยพัฒนา” จึงเป็นรูปธรรมการปฏิรูปการศึกษาที่น่าสนใจสำหรับคนไทยที่มีความสนใจในเรื่องการพัฒนาการศึกษาให้กับเด็กนักเรียนไทยในชนบท เพื่อไปสู่จุดมุ่งหมายที่ว่า “เรียนรู้เพื่อเปลี่ยนแปลงตนเองและสังคม”
                คุณมีชัย วีระไวทยะกล่าวว่า “ผมเชื่อว่า ความสำเร็จเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ด้วยการทำงานร่วมกับเพื่อนมนุษย์ ไม่ใช่โดยลำพัง แต่ละคนล้วนมีบทบาทที่มีความหมายสำคัญยิ่ง สมาคมฯ ได้ให้ความสำคัญกับความเสมอภาค ไม่แบ่งชนชั้น ไม่มีอคติ ความลำเอียงใด ๆ ในเรื่องเพศ และปัจจัยอื่น ๆ ของเพื่อนมนุษย์ ผมยังนึกไม่ออกว่า หากผมไปทำงานอื่น ๆ อยู่ที่ใดแล้ว จะทำให้ผมมีความสุขเท่ากับการได้ทำงานนี้ อยู่ที่นี่ สมาคมพัฒนาประชากรและชุมชน”
                ผมมองออกไปจากรถไฟฟ้า BTS ไปยังด้านล่างกลุ่มแสงไฟสีแดงท้ายรถยนต์ที่วิ่งอัดแน่นไปบนถนนรอบอนุสาวรีย์เคลื่อนตัวไปอย่างเนิบนาบ ดูราวกับสายธารลาวาสีแดงฉานไหลลงจากปล่องภูเขาไฟแล้วปูลาดเป็นทาง ทอดยาวออกไปบนพื้นราบเบื้องล่าง ไกลออกไปสุดปลายทาง ถนนเรียวเล็กลงจนมองเห็นเป็นจุดอยู่ลิบลิบ
เหมือนโอกาสทางการศึกษาแม้เปิดกว้างมากขึ้น แต่จุดหมายปลายทางเล็กเรียวและไม่มีโอกาสที่คนจะหวนคืนถิ่น ดั่งลาวาที่ไหลย้อนไปยังต้นกำเนิดของตนเองไม่ได้
การศึกษาแบบนี้จึงเป็นการศึกษาแบบตั๋วเที่ยวเดียว