วันพุธที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2559

ไฟป่า : ไฟเหนือไฟ


                                                                                                                       สุริยา เผือกพันธ์: เขียน

                ถ้าใบไม้แต่ละใบคือดวงตาแต่ละดวง เช้านี้..มันต่างจ้องมองมาที่ชายชาวนาอย่างเศร้าสร้อยหงอยเหงา ภายในซ่อนลึกถึงคำวิงวอน ร้องขอความเห็นใจ บ่งบอกถึงความน่าสะพรึงกลัว เพิ่งผ่านพ้นไปได้ไม่นาน !!!!!!!

                ก่อนหน้านั้นไม่กี่ชั่วโมง หลังความมืดแฝงกายเข้ามา  จนครอบคลุมราวป่า เปลวเพลิงได้ลุกโชติช่วง ผลาญเผาป่าหัวนาอย่างบ้าคลั่ง ไอร้อนของอากาศจับมือกับความแห้งกรอบของใบไม้ที่กองทับถมเต็มผืนป่า เป็นกองกำลังยั่วยุให้การลุกไหม้รุนแรง จนรัศมีเปล่งประกายขึ้นเหนือท้องฟ้า สว่างจ้าทั่ว นภา การโหมกระหน่ำของมัน สุดจะยื้อ !!!!!

                ราว 21 นาฬิกาของวันที่ถูกพยากรณ์ว่า อุณหภูมิพุ่งสูงสุดแห่งปี ( 10 เมษายน 2559) เสียงกริ่งโทรศัพท์ดังขึ้น ชายชาวนาหยิบมันขึ้นมาแนบหู ต้นสายเป็นเพื่อนบ้านผู้อารีย์ ส่งข่าวไฟไหม้ป่าหัวนาด้วยอาการตื่นตระหนก แน่นอนว่าหากยับยั้งการโจมตีของมันไม่ได้ในคราวนี้ ความเสียหายย่อมเกิดขึ้นกับพวกเราทั้งหมด


                ป่าหัวนา เป็นป่าที่พวกเราต่างสงวนไว้เพื่อประโยชน์แห่งป่า มันเป็นป่าผืนสุดท้าย หลังการบุกเบิกให้ป่าแปรสภาพเป็นที่ทำกินเกือบหมดสิ้น

หลังการเก็บเกี่ยวข้าวในนาปีนี้ ฝนหยาดสุดท้ายได้สั่งลาไปได้ไม่นาน ก็ถึงฤดูกาลที่ป่าไม้พักการผลิตมันสลัดใบร่วงหล่น จนเหลือแต่โครง ลำต้น ก้าน กิ่งยื่นเป็นแขนงเสียดแทงไปในอากาศเต็มผืนป่า ก่อนหน้านี้ผืนป่าปกคลุมไปด้วยสีเขียวของใบ ความหมายของมันคือ ความอุดมสมบูรณ์ เป็นแหล่งผลิตพืชพันธุ์ธัญญาหารของคนในพื้นถิ่น เช่น เห็ด หัวมัน พืชผักและผลไม้ป่า หากย้อนเวลายาวไปในอดีต อาจหมายถึงแหล่งอาศัยของสัตว์ป่าน้อยใหญ่ ที่บัดนี้ ไม่เหลือสรรพสัตว์ดังกล่าวใด ๆ แม้เพียงหนึ่งชีวิตให้เห็นเลย

                ในช่วงเวลาที่ผืนป่าธรรมชาติไม่มีใครแสดงสิทธิครอบครอง มันเป็นผืนป่าที่ผู้คนในพื้นถิ่นใช้เป็นแหล่งเสาะหาอาหารมาประทังชีวิตโดยเสรี ครั้นผืนป่าได้ถูกแบ่งสันปันส่วนให้ผู้คนมีสิทธิถือครอง ป่าได้แปรสภาพเป็นผืนนา ผืนไร่ จนสภาพของป่าเหลือน้อยลงไปเรื่อย ๆ

จนปัจจุบันนี้ ในละแวกนี้ ไม่เหลือความเป็นป่าให้เห็นอีกต่อไป คงมีผืนป่าเล็ก ๆ ผืนนี้ที่ยังคงอยู่โดยเจตนาของชายชาวนาที่ต้องการสงวนไว้ ให้เป็นสิ่งหาดูได้ยากในอนาคตอันไกลโพ้น


                แม้ผืนป่าแห่งนี้จะมีเจ้าของโดยสิทธิตามกฎหมาย แต่ความที่เคยเป็นผืนป่าตามธรรมชาติที่ผู้คนเคยได้พึ่งพาอาศัยมาก่อน มันจึงยังคงสืบสานวิถีการทำมาหากินของชาวบ้านอยู่ต่อไป ผู้คนเหล่านั้นยังเข้ามาอาศัยหาของอยู่ของกินได้โดยเสรีเหมือนเดิม ไม่สำคัญว่า ในเวลาต่อมาจะถูกล้อมด้วยรั้วลวดหนามก็ตามที

                รั้วลวดหนามคือ สิ่งแปลกปลอมเข้ามาเพื่อเสริมความมั่นคงของผืนป่า มันทำหน้าที่ได้เพียงลดทอนความสะดวกสบายในการเก็บของป่า มันไม่ได้เป็นข้อห้ามของการเก็บของป่า เพราะใคร ๆ ต่างก็ยังคงเข้าไปมะรุมมะตุ้ม พืชพันธุ์ธัญญาหารต่าง ๆ ได้เหมือนอย่างเคย โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่มีฝนชุก

                แต่สำหรับช่วงเวลาที่ร้อนแล้งเช่นนี้ ผิวน้ำในสระได้ลดระดับลงอย่างรวดเร็ว จนผืนดินก้นสระโผล่เป็นสันดอน เหลือเพียงน้ำขุ่นข้นแห้งขอด รอการแตกระแหงของผิวดิน ในผืนป่ามีเสียงหวีดหวิวของลมและการปลิดปลิวของใบไม้ แทนเสียงถากถาง แหวกป่าของคนหาอยู่หากิน

 ความอุดมสมบูรณ์หลบลี้ไปหลังการเก็บเกี่ยวผลผลิตในไร่นาแล้ว เหลือเพียงความอดอยากหิวโหยยังคงปรากฏตัวให้เห็นอย่างภักดี มันยังคงทำหน้าที่แสวงหาเพื่อความอยู่รอดต่อไป

                ไฟที่ลุกลามเลียบนผืนนาที่แห้งกรัง อาจเกิดจากจุดประสงค์แม้เพียงการล่าสัตว์ตัวเล็ก ๆ เท่ากำมือตัวหนึ่ง ที่มุดอยู่ในรู ก็เพื่อความอยู่รอด ตอซังข้าวที่เหลืออยู่ในผืนนากลายเป็นเชื้อไฟอย่างดี ต่อการลามไหม้ที่ขยายพื้นที่ออกไปอย่างไม่มีขีดจำกัด วันแล้ววันเล่า จนป่าหัวนาของชายชาวนาถูกล้อมกรอบด้วย ผืนนาสีดำของเถ้าถ่านตอซัง


                เช้าวันนี้......ผืนป่าสงัดเงียบ ไม้แต่ละต้นยืนตายแห้ง มันถูกแต้มแต่งด้วยสีเถ้าถ่าน บางต้นมีรอยไหม้เกรียมปรากฏโดยทั่ว ผืนดินด้านล่างถูกระบายด้วยสีดำ เป็นสีเดียวกันกับที่ปรากฏในผืนนาที่อยู่รายรอบ บ้างด้นฟืนยังมีเชื้อไฟคุกรุ่น ปล่อยควันอ้อยอิ่งอยู่เป็นหย่อม ๆ ทั่วผืนป่า

มันเป็นริ้วรอยของความพิโรธแห่งเพลิงไพรเมื่อคืนนี้

ริ้วรอยของการกลืนกินของพรายเพลิง ปรากฏให้เห็นเป็นวงกว้างทั่วป่าทั้งผืน มันเคลื่อนตัวซอกซอนไปตามเชื้ออัคนีทุกซอกหลืบ ไม่เว้นแม้แต่กองปุ๋ยหมักที่อยู่ห่างจากกระท่อมนาเพียงหนึ่งเมตร

                สถานีปลายทางของขบวนเพลิงมาสิ้นสุดที่นี่ !!!!! ไม้ที่อยู่รายรอบกระท่อมนาจึงรอดเงื้อมมืออัคคีภัยอย่างหวุดหวิด คงอยากเหลือไว้เพื่อบอกเล่าคืนวันอันโหดร้าย


ชายชาวนาใช้ถังทยอยตักน้ำก้นสระไปดับไฟที่ยังหลงเหลืออยู่เป็นหย่อม ๆ ในผืนป่า ทีละกอง ๆ เพียงวิดน้ำจากถังไปทีละฝ่ามือ ไฟที่ระอุอยู่ก็ค่อย ๆ หมดฤทธิ์ไป ทีละเล็กทีละน้อย

ความเย็นสงบสยบความรุ่มร้อน !!!!

ไม่ว่าสาเหตุของความเกี้ยวกราดเป็นฟืนเป็นไฟเมื่อค่ำคืนนี้จะมาจากสาเหตุใด คนเป็นผู้ชักนำอย่างแน่นอน
ถ้าใบไม้แต่ละใบคือดวงตาแต่ละดวง เช้านี้มันต่างจ้องมองมาที่ชายชาวนาอย่างเศร้าสร้อยหงอยเหงา ภายในซ่อนลึกถึงคำวิงวอน ร้องขอความเห็นใจ

                การให้อภัยสัมพันธ์กับความสุขอย่างลึกซึ้ง การให้อภัยเป็นเสมือนราชินีของคุณธรรมทั้งหมด หากใจของเราเต็มไปด้วยความเกลียดชังและโกรธแค้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่า นั่นคือการเอาความผิดของคนอื่นมาลงโทษตัวเราเอง ดังนั้น การให้อภัยคนอื่นที่แท้แล้วก็คือ การให้อภัยให้กับตนเองนั่นเอง (คริสโตเฟอร์ ปีเตอร์สัน)
               
               
               
               

                

วันอาทิตย์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2559

นิยามแห่งการเดินทาง: คุณค่าที่ได้โดยไม่ต้องจ่าย

                                                                         
                                                                                                       
                                                                                    สุริยา เผือกพันธ์ : เขียน

                การเตรียมการก่อนการเดินทางไปพักผ่อนประจำปีของพวกเราในครอบครัว ได้ดำเนินการมาก่อนหน้านี้เป็นแรมเดือนแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการเคลียร์งาน การกำหนดวัน กำหนดสถานที่ การจองที่พักและแม้กระทั่งยานพาหนะ ได้ผ่านการตรวจเช็คเครื่องยนต์ หม้อน้้ำ แบตเตอรรี่และลมยาง มาเป็นที่เรียบร้อยแล้วก่อนการเดินทางหนึ่งวัน แต่กระนั้นก็ยังมีสิ่งนี้เกิดขึ้น !!!!!!!!

                พวกเราออกเดินทางตั้งแต่เช้าตรู่ (1 เมษายน 2559) เพราะนอกจากอากาศจะเย็นสบาย ถนนหนทางไม่แออัดด้วยยวดยานแล้ว ยังทำให้เรามีเวลาเตร็ดเตร่ในช่วงบ่ายของวันอีกด้วย

                เวลาประมาณเที่ยงวัน เราได้เช็คอิน (Check in) ที่โรงแรมแอมบาสเดอร์จอมเทียนพัทยา จังหวัดชลบุรีเมื่อไปถึงเห็นคณะทัวร์จากรัสเซียกลุ่มใหญ่กำลังติดต่อเข้าที่พักเช่นกัน จึงต้องรอให้กลุ่มของเขาทำการติดต่อให้เสร็จก่อน ระหว่างนั้นสังเกตไปรอบ ๆ ก็พบว่า ซ้ายก็รัสเซีย ขวาก็รัสเซีย หน้าหลังล้วนรัสเซียเต็มไปหมด เราไม่ได้มาที่นี่ 3 – 4 ปีแล้ว วันนี้ที่นี่....เปลี่ยนแปลงไปมาก


                                        นักท่องเที่ยวชาวรัสเซียบริเวณชายหาดจอมเทียน

                เมื่อนำข้าวของเก็บในห้องพักเรียบร้อยแล้ว คณะได้ไปเดินเล่นเบา ๆ ด้านหลังที่พักซึ่งเป็นชายหาดที่เรียกว่า จอมเทียน จากที่เคยเงียบเหงาไร้ผู้คนมาก่อนหน้านี้ บัดนี้มีกิจกรรมท่องเที่ยวเกิดขึ้นจนเต็มพื้นที่ เป็นต้นว่า ลานเบียร์ ร้านเครื่องดื่ม ชากาแฟ ร้านอาหาร เต็นท์นวดแผนไทย เก้าอี้ชายหาดที่ขณะนี้เต็มไปด้วยชาวรัสเซียนอนตากแดด ตากลมเต็มไปหมด ยาวเหยียดไปสุดแดนของโรงแรม....ไม่เว้นแม้แต่ในสระว่ายน้ำก็เต็มไปด้วยคนทุกเพศ ทุกวัยเล่นน้ำกันสนุกสนานกันจนเต็มสระ.....แน่ละล้วนแล้วแต่มาจากรัสเซีย

                รุ่งขึ้นอีกวันหลังอาหารเช้า พวกเรานำรถมุ่งตรงไปยังท่าเรือ (Pier) แหลมบาลีฮายในเขตพัทยากลางเป้าหมายคือ เกาะล้าน (Koh Larn) ทะเลใส หาดทรายขาว ปะการังสวย แร่ศักดิ์สิทธิ์


                                                   นักท่องเที่ยวลงเรือที่ท่าเรือบารีฮาย

                8.30 น. ถึงท่าเรือ ยาดยานบนถนนแออัด ผู้คนหนาแน่น คนส่วนมากที่นี่ไม่ใช่ชาวรัสเซียแต่กลับเป็นชาวไทย ชาวจีนต่างกำลังเบียดเสียด เข้าคิวซื้อตั๋วโดยสารลงเรือไปยังเป้าหมายของตน ราคาคนละ 150 บาท ที่นี่เกิดธุรกิจมากมายนับแต่รับฝากรถราคาระหว่าง 100 – 300 บาทต่อวัน รถมอเตอร์ไซด์รับ-ส่งไปลงเรือราคา 50 บาทต่อคน กล้องแอบถ่าย (ตัวเรา) นำไปทำของที่ระลึกชิ้นละ 250 บาท แม้กระทั่งห้องน้ำก็ครั้งละ 5 บาท

                เรือโดยสารขนาดบรรจุได้ 150 คนต่อเที่ยวนำพวกเราไปยังเกาะล้านในเวลา 10.00 น.ใช้เวลาเดินเรือประมาณ 44 นาทีก็ถึงเกาะล้าน เรือเทียบท่าเที่ยวแรกของเช้านี้ที่หาดแสม (Samae Beach)

                หาดแสม เป็นหาดที่มีความสวยงามมากที่สุดอีกหาดหนึ่ง มีหาดทรายยาวถึง 300 เมตร เงียบสงบเป็นที่นิยมของนักท่องเทียวชาวยุโรปที่ต้องการพักผ่อน พื้นที่ของหาดแสมทั้งหมดอยู่ในความดูแลของเมืองพัทยา ทำให้หาดแสมมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย และมีร้านอาหารให้นักท่องเที่ยวได้เลือกลิ้มลองอาหารทะเลเป็นจำนวนมาก ในอนาคตหาดแสมแห่งนี้จะได้รับการพัฒนาให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีที่พักพร้อมทั้งสิ่งอำนวยความสะดวกอันทันสมัย ไม่แพ้สถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงอื่น ๆ เลยทีเดียว


                                                                หาดแสมเกาะล้าน

                นอกจากนี้ รอบ ๆ เกาะล้านยังมีหาดอื่น ๆ ที่น่าท่องเที่ยวเป็นจำนวนมากอาทิเช่น หาดแหวน (Ta Waen Beach) หาดสังวาล (Sangwan Beach)  หาดทองหลาง (Thong Lang Beach)  หาดเทียน (Thien Beach) และหาดนวล (Nual Beach) ขึ้นอยู่กับกลุ่มท่องเที่ยวแต่ละกลุ่มว่าจะมีเป้าหมายไปลงเรื่อที่หาดใด

แต่สำหรับพวกเราเลือกที่จะมาที่หาดแสมเพื่อขยายการท่องเที่ยวไปยัง...เกาะล้านไข่เมีย เพื่อดำน้ำชมปะการัง โดยจ่ายค่าบริการเรือใหญ่ พร้อมอุปกรณ์และสต๊าฟดูแลขณะดำน้ำคนละ 400 บาทใช้เวลา 1 ชั่วโมงครึ่ง -  2 ชั่วโมง

                รถโดยสารขนาดเล็กนำเราไปตามถนนรอบเกาะ ผ่านเนินเขา ขึ้น – ลงสัก 10 นาทีก็ถึงท่าเรือใหญ่นำเราไปสู่ท้องทะเล ที่นี่แออัด จอแจอีกที่หนึ่งเพราะใคร ๆ ก็มารอใช้บริการนำไปสู่กิจกรรมเป้าหมายของตนส่วนใหญ่มาเป็นกลุ่ม มีตั้งแต่ 2 - 3 คนไปจนถึง 10 – 12 คน พวกเราใช้เวลาดำดิ่งชมความสวยงามใต้ท้องทะเลจนครบกำหนดเวลาจึงกลับเข้าหาฝั่ง เพื่อต่อเรือกลับพัทยาเที่ยว 15.30 น.
      


ร้านอาหารร้านหนึ่งที่นักท่องเที่ยวนิยมไปรับประทานริมชายทะเลพัทยาใต้


                อาหารเย็นมื้อนี้เป็นเมนูซีฟูด (Sea Food) ราคาไม่แพงมีร้านให้เลือกริมหาดพัทยากลางไปจนถึงพัทยาใต้มากมาย ทุกร้านรสชาติอร่อยน่าลิ้มลองทั้งสิ้น จากนั้นการเดินพักผ่อนย่าน Walking Street ก็เป็นสีสันของการท่องเที่ยวในแต่ละครั้งที่ไปพัทยา เหมือนการเดินทางได้บรรลุเป้าหมายแล้ว

                เช้าวันที่สาม ยังได้ร่วมรับประทานอาหารเช้าเมนูเดิมร่วมกับชาวรัสเซียอีกครั้ง แต่ที่พิเศษไปกว่าทุกวันคือการเช็คเอ๊าท์ (Check out) คืนห้องเตรียมตัวเดินทางกลับในเที่ยงวันนี้ แต่ก่อนเดินทางกลับหลังอาหารมื้อนี้พวกเราจะเดินทางไปกราบพระพุทธมหาวชิรอุตตโมภาสศาสดาที่เขาชีจรรย์ ซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณ 10 กิโลเมตร


                       พระพุทธมหาวชิรอุตตโมภาสศาสดาเขาชีจรรย์                        

 พระพุทธมหาวชิรอุตตโมภาสศาสดาเป็นพระพุทธรูปองค์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ณ หน้าผาหินเขาชีจรรย์สมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก ฝ่ายพุทธจักร สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี มีจิตเกษมโสมนัสสมานสโมสรสนองพระมหากรุณาธิคุณอันไพศาล ประดิษฐานพระพุทธรูปองค์ใหญ่ที่สุดในโลก ณ หน้าผาเขาชีจรรย์แห่งนี้

                ที่นี่มีทัวร์ชาวจีนและชาวไทยหนาแน่น ต่างก็มากราบไหว้เพื่อเป็นสิริมงคลแห่งชีวิต เช่นเดียวกับพวกเราหลังการกราบไหว้พระที่ศักดิ์สิทธิแล้ว ก็วางแผนเดินทางไปรับประทานอาหารเที่ยงก่อนมุ่งหน้ากลับบ้าน

                รถของเรากลับเข้ามาบนถนนสุขุมวิทย์ มุ่งตรงชายทะเลพัทยาใต้อีกครั้งหนึ่ง

                ฟรื้บ !!!!!!

                เสียงลมดังออกมาจากล้อหลังฝั่งซ้าย รถเสียการทรงตัวเล็กน้อย
               พวกเราจอดรถลงมาดูตามเหตุแห่งเสียง ล้อยางแบนราบด้วยเศษตาปูเสียบอยู่กลางวงล้อ

            ก่อนเดินทาง ได้ผ่านการตรวจเช็คเครื่องยนต์ หม้อน้้ำ แบตเตอรรี่และลมยาง มาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่กระนั้นก็ยังมีสิ่งนี้เกิดขึ้น !!!!!!!!

                                       
                                      ยางรั่วระหว่างเดินทางต้องหยุดเปลี่ยนยางอะไหล่

                มันเป็นครั้งแรกที่เราได้ใช้สถานการณ์ครั้งนี้เรียนรู้การเปลี่ยนยางอะไหล่ด้วยตนเอง เพื่อพยุงรถให้สามารถวิ่งไปถึงร้านปะยางได้

                ที่ใกล้ที่สุดคือบี-ควิก (B-Quik) พวกเราใช้เวลาปะและเปลี่ยนยางอยู่ประมาณ 20 นาที ก็เสร็จเรียบร้อยพร้อมกับจะจ่ายค่าบริการ
                “ฟรีครับไม่เก็บตังค์” หนุ่มบริกรบอก
                “ไม่เอาครับ” เขาย้ำอีกครั้ง หลังจากพวกเรายื่นเงินให้ด้วยความไม่แน่ใจ

                “บี-ควิก ศูนย์บริการรถยนต์เจ้าเดียวในประเทศไทย ที่เปิดให้บริการรถยนต์ทุกวันตั้งแต่ 8 โมงเช้าถึง 3 ทุ่ม ทุกเทศกาล แบบไม่มีวันหยุดและไม่มีพักเที่ยง ให้บริการด้วยระบบคอมพิวเตอร์ออนไลน์กว่า 125 สาขาทั่วประเทศไทย จะใช้บริการวันไหน เวลาใด ก็สะดวก”


บี-ควิกพัทยากลาง

             ท่ามกลางคำประกาศของธุรกิจการยางที่รายล้อมด้วยธุรกิจหลากหลายในเมืองท่องเที่ยวเช่นนี้

สถานที่บางแห่งใช้โอกาสนี้อำนวยค่าห้องน้ำครั้งละ 10 บาท ข้าวไข่เจียวจานละ 100 บาท น้ำแข็งเปล่าแก้วละ 10 บาท นำ้เปล่าขวดละ 20 บาท  ฯลฯ แล้วแต่จะคิดได้ตามระดับของกิเลส ตัณหา อุปาทาน

แต่ที่นี่...บี-ควิก พวกเราเห็นเขาทำธุรกิจเพื่อสังคม (Corporate Social Responsibility: CSR) รับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมขององค์กร ภายใต้หลักจริยธรรมและการจัดการที่ดี ด้วยการบริการเติมลม ปะยาง สลับ ถ่วง เปลี่ยน 4 เส้น ฟรี!!!!!

                “ค่าเครื่องดื่มในตู้เย็นเขายังไม่เก็บเงินเลยครับ” หนึ่งในคณะของพวกเรากล่าวอย่างชื่นชม